ทำไม “นางวันทอง” ที่สวยบาดตา ถึงปากคมคารมกล้า เรียกได้ว่าแสบทรวงมาก!

ญาดา อารัมภีร
ภาพจากจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องขุนช้างขุนแผนที่ระเบียงคดรอบวิหารหลวงพ่อโต นางพิมพิลาไลย(นางวันทอง) กับนางสายทอง (ภาพจากวัดป่าเลไลยก์ จังหวัดสุพรรณบุรี เขียนโดย เมืองสิงห์ จันทร์ฉาย)

สวยแสบ

“นางพิมพิลาไลย” หรือ “นางวันทอง” คือนางในวรรณคดีที่สวยบาดตา ปากคมคารมกล้ามาตั้งแต่เด็ก ทำให้ใครต่อใครแทบกระอัก เพราะด่าได้ไม่เว้นวรรค สรรหาสารพันคำด่าเจ็บๆ แสบๆ ชนิดที่คนถูกด่าอยากจะขอไปเกิดใหม่

วรรณคดีเรื่อง ขุนช้างขุนแผน เล่าถึงนางพิม พลายแก้ว และขุนช้างตอนยังเด็กอายุไม่กี่ขวบ แทนที่จะเล่นกันแบบที่เด็กๆ ทั้งหลายเขาเล่นกัน

“ฝ่ายข้างพลายแก้วอุตริว่า

เราเล่นเป็นผัวเมียกันเถิดรา ขุนช้างร้องว่าข้าชอบใจ

นางพิมว่าไปอ้ายนอกคอก รูปชั่วหัวถลอกกูหาเล่นไม่

พลายแก้วว่าเล่นเถิดเป็นไร ให้ขุนช้างนั้นไซร้เป็นผัวพลาง

ตัวข้าจะย่องเข้าไปหา จะไปลักเจ้ามาเสียจากข้าง

ทั้งสองคนรบเร้าเฝ้าชวนนาง จึงหักใบไม้วางต่างเตียงนอน”

พลายแก้วเป็นคนต้นคิดแท้ๆ แต่คนถูกด่ากลับเป็นผู้สนับสนุน นางพิมนอกจากจะด่าว่า “อ้ายนอกคอก” ยังต่อด้วย “รูปชั่วหัวถลอก” เล่นงานปมด้อยของขุนช้างเข้าอย่างจัง

เมื่อเพื่อนสองคนรบเร้า นางพิมก็ตามใจ ยอมเล่นเป็นผัวเมียหลอกๆ แต่ขุนช้างและพลายแก้วต่างยกพวกตะลุมบอนกันจริงๆ “จมูกครากปากแตกจนเลือดไหล บ้างก็วิ่งร้องไห้ไปตัวสั่น” พอถึงตอนนี้พิมน้อยก็สำแดงเดช “นางพิมด่าให้อ้ายตายโหง พวกอ้ายโล้งโต้งกูไม่เล่นได้” ด่ากราดทุกคนแล้วยังแถมท้ายให้ขุนช้างโดยเฉพาะว่า

“อ้ายหัวล้านขี้ถังมันจังไร แล้วพาฝูงข้าไทไปเรือนพลัน”

“ขี้ถัง” และ “จังไร” คือชั่วช้า เลวทราม ความหมายไม่ต่างกัน

เมื่อรวมกับคำว่า “อ้ายหัวล้าน” จึงมีความหมายว่า อ้ายชาติชั่วหัวล้าน

นางพิมวัยเด็กปากจัดไม่เบา ถ้าโตเป็นสาวจะขนาดไหน คนที่รู้ซึ้งกว่าใครก็ขุนช้างนี่แหละ โดยเฉพาะตอนที่แต่ละคนต่างโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ขุนช้างวัยคะนองไปแอบดูนางพิมอาบน้ำที่ท่าน้ำ แล้วก็พลุ่งพล่านอย่างนี้

“ขุนช้างทะยานงุ่นง่านใจ ผ้านางพิมไพล่จากรักแร้

ขุนช้างเห็นนมกลมตละปั้น มือคั้นหน้าแข้งยืนแยงแย่

โคลงตัวคลุกคลุกเหมือนตุ๊กแก อีแม่เอ๋ยวันนี้นี่กูตาย”

พอนางพิม พี่เลี้ยงและบ่าวไพร่พากัน “ขึ้นมาผลัดผ้าทั้งบ่าวนาย นาดกรายตามกันเป็นหลั่นไป” ขุนช้างถือโอกาสเดินแซงนางพิมแล้วเกี้ยวเอาดื้อๆ โดยมีขี้ข้าผสมโรงร่วมด้วยช่วยอีกแรง

“แกล้งอ่านเพลงยาวกล่าวกระทบมา โอ้ว่าดวงดอกฟ้ามณฑาธาร

อ้ายโห้งโก่งคอต่อกลอนนาย พี่เห็นเจ้าเข้าหมายว่าของหวาน

ดูกระเพื่อมตละเชื่อมซึ่งเต้าตาล”

แค่รูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ของขุนช้าง นางพิมก็สุดจะทนอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อรวมกับวาจาท่าทีลามกล่วงเกินนางอย่างจงใจ ยิ่งทำให้นางโกรธจัดถึงกับด่าเลยไปถึงบุพการีของฝ่ายนั้น

“นางพิมโกรธาด่างุ่นง่าน แม่มึงอ้ายหัวล้านกบาลใส”

ถูกด่าขนาดนี้ยังไม่เข็ด ขุนช้างพยายามขอร้องแม่เทพทองให้ไปสู่ขอนางพิม พอแม่ปฏิเสธ ก็สู้ดั้นด้นไปขอพบนางศรีประจัน แม่นางพิม เพื่อปรึกษาหารือเรื่องนางพิม เจ้าของเรื่องแอบฟังอยู่แค้นใจนักที่แม่เห็นดีเห็นงามตามขุนช้าง จึงแกล้งตะโกนด่าอ้ายผล บ่าวของตัวเองกระทบขุนช้างซึ่งหัวล้านเหมือนกัน เสียงด่าดังสนั่นได้ยินกันทั่ว

“ทำเปิดหน้าต่างแล้วร้องไป อ้ายผลไปไหนมึงมานี่

อ้ายหัวล้านอกขนคนอัปรีย์ งานการยังมีไม่นำพา”

ขุนช้างอับอายขายหน้าบ่าวไพร่ยิ่งนัก รีบแจวอ้าวกลับบ้านแทบไม่ทัน กลับไปก็เป็นไข้ใจอาการหนัก “ไม่เป็นกินเป็นนอนแต่ร้อนรัก อกจะหักใจรัญจวนป่วนปั่น” วันรุ่งขึ้นจึงรีบไปเจรจาฝากเนื้อฝากตัวกับนางศรีประจันเร่งรัดสู่ขอนางพิม ว่าที่แม่ยายดีใจจนเนื้อเต้นจะได้ลูกเขยเศรษฐี ก็เรียกหาลูกสาวจ้าละหวั่น

“แม่พิมเอ๋ยแม่พิมไปอยู่ไหน เป็นไรจึงไม่ออกมาไหว้พี่

มารู้จักกันไว้เป็นไรมี มาซีทูนหัวของมารดา”

นางพิมฟังแล้วของขึ้นทันที ตัดรอนแม่อย่างไม่เกรงใจ

“จึงร้องตอบแม่พลันในทันใด ไม่ไปละอย่าเรียกให้ยากเลย”

จากนั้นก็แกล้งเรียกอ้ายผลคนเดิมมาด่าประจานขุนช้างอย่างไม่ไว้หน้า

“อ้ายเจ้าชู้ลอมปอมกระหม่อมบาง ลอยชายลากหางเที่ยวเกี้ยวหมา

ชิชะแป้งจันทน์น้ำมันทา หย่งหน้าสองแคมเหมือนหางเปีย

หมามันจะเกิดชิงหมาเกิด มึงไปตายเสียเถิดอ้ายห้าเบี้ย

หน้าตาเช่นนี้จะมีเมีย อ้ายมะม่วงหมาเลียไม่เจียมใจ”

จิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องขุนช้างขุนแผนที่ระเบียงคดรอบวิหารหลวงพ่อโต นางพิมพิลาไลย(นางวันทอง) กับนางสายทอง (ภาพจากวัดป่าเลไลยก์ จังหวัดสุพรรณบุรี เขียนโดย เมืองสิงห์ จันทร์ฉาย)

ทุกอย่างที่รวมเป็นขุนช้าง นางพิมขุดขึ้นมาด่ายับ ทั้งอ้ายเจ้าชู้ อ้ายหัวล้าน อ้ายคนลามปาม (ลอมปอม) อาจเอื้อมเกินเลย

นางเย้ยเยาะการนุ่งผ้าลอยชายของขุนช้างที่หนุ่มๆ นิยมนุ่งกันเวลาไปเกี้ยวสาว คือนุ่งผ้าแบบลำลอง ไม่รวบชายผ้าไปเหน็บไว้หลังบั้นเอว แต่ปล่อยชายยาวระพื้น แทนที่ขุนช้างจะไปเกี้ยวสาวเหมือนหนุ่มๆ ทั้งหลาย นางพิมก็ยักเยื้องว่าขุนช้างไป “เกี้ยวหมา” เปรียบขุนช้างเป็นหมายังไม่สะใจ ด่าว่าชิงหมาเกิดเสียอีก

คนไทยสมัยก่อนไม่ได้เลี้ยงหมาเป็นลูกอย่างคนสมัยนี้ แต่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน ที่อยู่ของหมาคือใต้ถุนบ้านเท่านั้น การเปรียบคนกับหมาเท่ากับเหยียดหยามกันถึงที่สุด

นางพิมยังเยาะหยันขุนช้างว่ารูปชั่ว ต่อให้แต่งตัวเต็มที่ ทาแป้งผสมเครื่องหอมชั้นดีมีราคา ทาน้ำมันใส่ผมทำผมให้หย่งก็ยิ่งทุเรศตา เพราะการจัดแต่งทรงผมให้สูงขึ้น ดูๆ ไปก็ใกล้เคียงกับแคม หรือส่วนของอวัยวะเพศหญิงอยู่ตรงขอบช่องคลอดอย่างไรอย่างนั้น

ขุนช้างเป็นเศรษฐีใหญ่เมืองสุพรรณ ร่ำรวยมีเงินทองท่วมหัว นางพิมกลับเรียกขุนช้างว่า “อ้ายห้าเบี้ย” คือมีค่าแค่ห้าเบี้ย (เบี้ยเป็นอัตราค่าเงินต่ำสุด 100 เบี้ยเท่ากับ 1 อัฐ หรือ 1 สตางค์ครึ่ง) ความหมายก็คือขุนช้างไม่มีค่าเลยแม้แต่น้อย ลองผวนคำว่า “ห้าเบี้ย” แล้วจะรู้ว่านางพิมแสบแค่ไหน

นางพิมเยาะเย้ยขุนช้างว่า “หน้าตาเช่นนี้จะมีเมีย อ้ายมะม่วงหมาเลียไม่เจียมใจ” ด่าว่าไม่รู้จักเจียมตัว หน้าตาอุบาทว์ขนาดนี้ไม่มีสาวไหนสนใจแน่ นางพิมทิ้งท้ายด้วยการเรียกขุนช้างว่า “อ้ายมะม่วงหมาเลีย” เพื่อบอกให้รู้ว่าขุนช้างเป็นคนไร้ค่าพอๆ กับลูกมะม่วงที่ตกอยู่บนพื้นแล้วหมายังเลียอีกต่างหาก ใครจะกินลง ฝีปากนางพิมครั้งนี้ทำให้ได้รางวัลชุดใหญ่จากแม่ศรีประจัน

“ลุกขึ้นฉวยไม้ไล่ตีมา มึงหยาบช้าชาติชั่วนี่เหลือใจ

น้อยฤๅคารมอยู่เปรี้ยงเปรี้ยง เช่นนี้ไหนจะเลี้ยงมึงไปได้

หวดตียี่ยับระยำไป เลือดไหลโซมหลังหลั่งน้ำตา

นางพิมต้องตีตัวเป็นแนว ฉันกลัวแล้วคราวนี้ฉันไม่ว่า

เจ็บปวดยวดยิ่งทั้งกายา ก็หนีหน้าวิ่งเข้าในครัวไฟ”

กาลต่อมาเมื่อนางพิมแต่งงานอยู่กินกับพลายแก้วแล้ว ขุนช้างก็ใช้เล่ห์กลลวงนางศรีประจันว่าพลายแก้วหรือขุนแผนตายในทัพ ลูกเมียจะต้องถูกจับตัวเข้ากรุงไปเป็นหม้ายหลวง ทางรอดพอมีคือต้องรีบหาผัวใหม่ ไม่ต้องไปหาไกล ให้ดูคนใกล้อย่างขุนช้างนี่เองมิใช่ใครอื่น นางศรีประจันพยายามหว่านล้อมลูกทุกวิถีทางให้ยินยอมพร้อมใจเป็นเมียขุนช้าง

“ออแก้วใช่แม่ไม่รักใคร่ มันบรรลัยไม่กลับมาถึงบ้าน

ขุนช้างมันชั่วแต่กระบาล ถึงหัวล้านหัวเหลืองเครื่องในดี”

นางพิมซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นนางวันทองแล้วเพราะเจ็บหนักเกือบตาย พยายามชี้แจงให้แม่ยอมรับว่านางไม่เต็มใจครองคู่กับขุนช้าง

“ถึงแม้นพ่อแก้วตายวายปราณ จะขืนให้อ้ายหัวล้านไม่ยอมใจ

เมื่อปากมันมีแต่ขี้ฟัน ลูกจะนอนกับมันอย่างไรได้”

ต่อมาขุนช้างรื้อเรือนหอของพลายแก้วโดยพละการ แล้วปลูกของตัวคร่อมทับของเก่า นางวันทองบ่ายเบี่ยงอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ถูกแม่บังคับให้แต่งงานกับขุนช้างจนได้ ถึงกระนั้นนางก็ไม่ยอมเข้าหอ ทำฤทธิ์ทำเดชกับแม่เป็นการใหญ่

“นางวันทองแค้นคั่งประดังร้อง กระทุ้งห้องสนั่นหวั่นไหว

ชังน้ำหน้าอ้ายหัวล้านขี้คร้านไป แม่จะใคร่ได้เขาก็เอาเอง”

นางวันทองถูกแม่บังคับส่งตัวให้ขุนช้างหลังจากที่พลายแก้วหรือขุนแผนพานางลาวทองเมียใหม่มาเยี่ยมเยือน แล้วเกิดหึงหวงทะเลาะวิวาทตัดขาดกันไป ทั้งแม่ตัวและว่าที่ผัวใหม่ช่วยกันฉุดกระชากลากถูนางวันทองเข้าหออย่างทุลักทุเล เพราะนางวันทองฮึดสู้สุดแรง แม้จะอยู่ในห้องหอกับขุนช้าง นางก็ตะโกนด่าทอไม่ขาดปาก

“วันทองร้องอึงอยู่ในห้อง ขุนช้างข่มเหงน้องพ่อพลายแก้ว

อ้ายห่ามันจะฆ่าเมียเสียแล้ว หูตาบ้องแบวเหมือนแมวคราว

อ้ายขี้ถ่อยถอยไปให้พ้นกู หัวหูเหมือนลูกมะพร้าวห้าว”

ขุนช้างควรจะต้องขอบใจมุ้ง เพราะถ้าไม่มีมุ้งพันตัววันทองไว้ ขุนช้างคงจะถึงฝั่งฝันได้ยาก โอกาสทองเป็นของขุนช้างเมื่อ

“มุ้งพันวันทองดังไข่พอก กูหายใจไม่ออกอ้ายฉิบหาย

….. ฯลฯ …..

ขุนช้างเลิกมุ้งที่พันตัว พันไว้แต่หัวให้มีช่อง

ได้ทีสบสมอารมณ์ปอง วันทองจนใจอยู่ในโปง

ร้องจนตาปลิ้นดิ้นจะลุก กูจุกขึ้นมาแล้วอ้ายตายโหง

ถีบขุนช้างล้มจมโก้งโค้ง ขุนช้างโลดโดดโหยงอยู่ยักยัน”

กว่าขุนช้างจะใช้กำลังบังคับขืนใจจนได้นางวันทองเป็นเมีย ขุนช้างเองก็สะอึกแล้วสะอึกอีกกับทุกถ้อยคำที่นางกระหน่ำด่า

สวยแสบกว่านี้ไม่มีแล้ว