ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 พฤษภาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ชายตาหาข้าวเปลือก |
เผยแพร่ |
ฉันรู้สึกว่าตัวเองห่างหายไปจากการเดินทางลำพังมานาน นับไปนับมาน่าจะสัก 2 ปีได้
เพราะระยะหลังมีเพื่อนพร้อมจะเดินทางด้วยอย่างสม่ำเสมอ
การเจอคนที่พร้อมในการเดินทางด้วยกันไม่ไช่เรื่องง่าย
เพราะไหนจะต้องชอบไปในที่ที่เราจะไป มีเวลาที่ตรงกัน มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่คล้ายๆ กัน เพราะไม่อย่างนั้นก็จะตีกันตายเพราะขัดกันตลอด
และไหนจะมีทัศนคติคล้ายๆ กัน เพราะไม่อย่างนั้นจะใช้ชีวิตกินนอนด้วยกันหลายวันอย่างไรถ้าอึดอัด ไม่ชอบขี้หน้า และน่ารำคาญ
เข้าใจแล้วใช่ไหมที่ฉันอาจจะไม่ถนัดที่ต้องเดินทางแบบทัวร์ เพราะเราก็เรื่องไม่น้อยแล้ว ถ้าไปเจอคนอีกร้อยแปด เราน่าจะกัดลิ้นตายตั้งแต่สนามบิน
และอีกปัจจัยที่คนเราจะเดินทางด้วยกันได้อีกก็คือ เงิน
ไม่ต้องโลกสวย กระมิดกระเมี้ยนที่จะพูดถึงเรื่อง “เงิน” เพราะเอาเข้าจริง ถ้าคนเราไม่วางแผน จัดสรร และวางเป้าหมายไว้ เราก็จะไม่มีเงินไว้สำหรับทำสิ่งที่เราชอบและรัก อย่างเช่นการเดินทาง เป็นต้น
เมื่อมีคนที่สามารถร่วมทางไปด้วยกันได้อย่างสม่ำเสมอ ก็เลยเดินทางเป็นหมู่คณะอยู่บ่อยครั้ง ก็สนุกสนานเฮฮาตามประสากันไป
แต่อย่างไรเสีย จิตวิญญาณภายในก็โหยหาการเดินทางโดยลำพังอย่างที่เคยทำมา
หลายคนมักชอบงุนงงสงสัยและถามเสียงหลงแทบทุกครั้งเมื่อรู้ว่าฉันเดินทางคนเดียว
“ฮ้าาาา เดินทางคนเดียว คนเดียวจริงเลยเหรอ”
“ไปคนเดียวไม่เหงาเหรอ”
“ไปทำไม อยู่อย่างไร เที่ยวสนุกเหรอ”
ถ้าไม่เคยไปคุณจะไม่มีวันเข้าใจ…
การเดินทางลำพังไม่เคยเหงาเลยสำหรับตัวฉันนะ เหตุเพราะเรารู้ถึงเป้าหมายในการไปของเรา เรารู้อารมณ์ความรู้สึกของเราว่าเราไปทำไม เราไปอย่างมีจุดหมายปลายทาง
แม้การเดินทางจะไปแบบโนแพลน คือไม่ได้วางเป๊ะๆ ว่าวันนี้จะไปไหนบ้าง แต่มันก็มีการวางคร่าวๆ ในหัวอยู่แล้วว่า เราจะอยากไปที่ไหนบ้าง เพียงแต่เดี๋ยวเราจะไปจัดการเอาหน้างานได้
การเดินทางคนเดียวจึงไม่ใช่เรื่องเปล่าเปลี่ยวหรือเหงาหงอย
เราไม่ได้เดินทางด้วยอาการแบบประชดชีวิต หรืออกหักรักคุด หนีไปให้ไกลๆ ดีกว่า หรือไปไหนก็ได้ เขาจะได้รู้สึกว่าเราหายไป อะไรแบบนั้น
ไม่อย่างนั้นมันจะไม่,uกะจิตกะใจจะก้าวขาไปไหนทั้งสิ้น และรอบตัวก็ไม่มีอะไรสวยงามเลย ออกจะน่าเบื่อ หดหู่ และพานจะร้องไห้ตลอดเวลา
อย่างการเดินทางคนเดียวครั้งนี้ ฉันมีจุดหมายคือ “โตเกียว”
ญี่ปุ่นกับฉันคุ้นเคยกันเหลือเกิน และใน 1-2 ปีที่ผ่านมา รู้สึกว่าฉันห่างหายจากโตเกียวไปนาน เพราะมัวแต่ไปเพลิดเพลินกับธรรมชาติในจังหวัดต่างๆ ของญี่ปุ่น ก็เลยคิดถึงโตเกียวขึ้นมาตงิดๆ
และการไปครั้งนี้มีเป้าหมายจะไปคาเฟ่ต่างๆ ในโตเกียวเพื่อทดลองกินกาแฟของญี่ปุ่น และไปถ่ายรูปคาเฟ่เก๋ๆ น่ารักๆ โดยติดตาม #cafehoppingtokyu ใน ig แล้วก็เซฟร้านที่หมายตาไว้ และดำเนินตามรอยไปเลย
ฉันจองโรงแรมที่ฉันอยากนอน อยู่ในย่านที่อยากอยู่
ตื่นในเวลาที่อยากตื่น ทำอะไร นานแค่ไหนก็ได้เท่าที่เราต้องการ อยากออกกี่โมง อยากไปไหนก่อน อยากเปลี่ยนในระหว่างทางที่ขึ้นรถไฟ หรือแม้แต่ขึ้นรถไฟผิดก็ไม่ต้องรู้สึกผิดหรือเกรงใจใคร
เพราะไม่มีใครตามเรามา ไม่กดดัน
เวลาไปคาเฟ่ต่างๆ บางที่ก็ไม่ได้สวยอย่างที่เห็นในรูป หรือก็ไม่ได้มีกาแฟอร่อยอย่างที่คิด ก็ไม่ต้องโดนตัดสินหรือเกรงใจคนในคณะว่าพามาที่ไม่ประทับใจ ไม่มีการต้องทนหน้าหงิกงอ หรือหน้าไม่อินกับสิ่งที่เราชอบ
ที่สำคัญ เราสามารถใช้เวลาแบบที่เราต้องการได้ตามอัธยาศัยโดยที่ไม่ต้องเร่งรีบ
เพราะเวลาไปโตเกียวคือการได้เปิดหูเปิดตา ดูข้าวของเครื่องใช้ ของกิน ขนมแบบแปลกใหม่
ฉันจึงชอบใช้เวลาอย่างที่ตัวเองต้องการ ไม่เร่งรีบ ไม่ต้องเกรงใจใคร ไม่ต้องมีเวลากำหนดค่อยๆ พินิจพิเคราะห์ ซื้อเยอะแค่ไหนก็ได้ แวะร้านไหนก็ได้
เวลาทั้งหมดเป็นของเรา ไม่มีตารางเวลาแบบซีเรียสมากำหนด มากสุดก็เวลาที่จองกินอาหารของบางร้าน นอกนั้นหิวก็กิน สะดวกตอนไหนก็กิน อยู่ย่านไหน ร้านไหนน่ากินก็กิน ไม่หิว ดึกแล้วก็ไม่กิน เช้าตื่นสายก็ไม่กิน
เบรกตารางชีวิตของตัวเองและผู้อื่นที่มาเกี่ยวข้องกับเรา
ให้เราได้เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง
ข้อเสียอย่างเดียวคือ เวลากินสั่งได้ไม่กี่อย่าง เพราะมันกินไม่หมด แต่ญี่ปุ่นก็ทำให้เรากินอะไรได้ง่ายๆ แบบที่กินคนเดียวได้เสมอ เช่น ราเมน ข้าวหน้าหมูทอด ซูชิ ที่นั่งกินคนเดียวได้ และแม้แต่ร้านกาแฟ
การเดินทางคนเดียวครั้งนี้ จึงเหมือนเป็นการได้ใช้เวลากับตัวเองอย่างแท้จริง ได้เป็นตัวของตัวเอง ได้อยู่กับตัวเอง สื่อสารกับตัวเอง และได้เห็นรายละเอียดต่างๆ รอบตัวชัดเจนขึ้น
การได้เดินทางคนเดียวสลับกับเดินทางกับเพื่อน มันก็ได้รสชาติชีวิตไปอีกแบบ
ลองดูสิคะ…