วรศักดิ์ มหัทธโนบล : ค่านิยมในระบบเศรษฐกิจจีน

วรศักดิ์ มหัทธโนบล

จากนักวิจัยสู่อาจารย์ (ต่อ)

ข่าวนี้ทำให้เป็นที่สงสัยกันว่า เหตุใดจึงมีการซื้อรถราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต หรือทำไมจึงไม่เก็บเงินที่จะซื้อเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินหากวิกฤตหนักลงไปอีก คำถามทำนองนี้เกิดขึ้นโดยทั่ว จนวันหนึ่งได้ไปพบปะสังสรรค์กับปัญญาชนไทยเชื้อสายจีนกลุ่มหนึ่งที่รู้จักกันมานาน แล้วในวงสนทนาก็มีผู้หยิบยกข้อสงสัยที่ว่าขึ้นมาเป็นประเด็น

แล้วคำตอบที่ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันโดยแทบไม่ต้องคิดก็คือ เวลาที่คนไทยเชื้อสายจีนจะลงทุนทำธุรกิจใดก็ตาม สมมุติว่ามีเงินทุนอยู่ 100 บาท คนไทยเชื้อสายจีนจะไม่ลงทุนไปทั้งหมด 100 บาท แต่จะลงเพียงแค่ 70 บาท

ที่เหลืออีก 30 บาทจะเก็บสำรองเอาไว้ เผื่อธุรกิจนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ หรือขาดทุน

และที่แน่ๆ คือ หากเงิน 100 บาทไม่พอที่จะลงทุน คนเหล่านี้ก็จะไม่ไปกู้เกินจากธนาคารหรือจากใคร จะลงทุนเท่าที่ตนมีอยู่แบบค่อยเป็นค่อยไป

วิธีคิดแบบนี้จะไม่เหมือนกับของตะวันตก ที่ถ้าหากเงินทุนไม่พอก็จะไปหากู้เงินมาลงทุน ซึ่งสาเหตุสำคัญที่เกิดวิกฤตครั้งนั้นก็มาจากการกู้เงินจากธนาคาร แล้วไม่สามารถใช้หนี้แก่ธนาคารได้ เวลานั้นทั้งคนกู้และคนให้กู้ต่างล้มกันระนาวจนเป็นวิกฤตร้ายแรง

ส่วนคนที่ชอบแสดงวิสัยทัศน์ว่าธุรกิจนั้นธุรกิจนี้น่ากู้เงินมาลงทุนก็หายเข้ากลีบเมฆไปหมด เพราะวิสัยทัศน์ที่แสดงไปนั้นผิดถนัด ซ้ำยังทำร้ายคนที่เชื่อในวิสัยทัศน์นั้นๆ อีกด้วยไม่น้อย

 

จากเหตุดังกล่าว คนไทยเชื้อสายจีนจึงไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ หรือหากได้รับก็ไม่รุนแรง เพราะยังมีเงินเหลืออีก 30 บาทเก็บสำรองเอาไว้ เมื่อไม่ได้รับผลกระทบธุรกิจจึงไม่ล้ม และถึงแม้ธุรกิจอาจไม่ดีเท่าก่อนเกิดวิกฤต แต่ก็ไม่ถึงกับขาดทุน

คนเหล่านี้จึงยังซื้อรถได้ และที่ซื้อได้ก็เพราะเหตุจากวิกฤตทำให้รถมีราคาถูกลง ว่ากันว่าบางคนใช้เงินสำรองที่ว่ามาซื้อรถด้วยซ้ำไป

ทั้งนี้ ควรกล่าวด้วยว่า ค่านิยมเรื่องการทำธุรกิจด้วยวิธีดังกล่าวเป็นค่านิยมที่คนจีนมีมาช้านานแล้ว เช่นเดียวกับค่านิยมในเรื่องการอดออมที่คนจีนก็มีอยู่อย่างมั่นคงมานาน

เรื่องหลังนี้ได้พบด้วยตัวเองโดยตรงหลังวิกฤตผ่านไปราวสองปี ซึ่งตอนนั้นไทยยังไม่ฟื้นดีนัก แต่ด้วยงานที่ทำอยู่ได้เป็นเหตุให้ต้องเดินทางไปกรุงเป่ยจิงเพื่อเก็บข้อมูลทางเศรษฐกิจ เวลานั้นเศรษฐกิจดีขึ้นโดยลำดับ วิกฤตเศรษฐกิจในไทยไม่ได้กระทบจีนมากนัก

แต่กระนั้นคนจีนก็ยังมิได้ร่ำรวยดังทุกวันนี้ ตอนนั้นรัฐบาลจีนต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมาก

วิธีหนึ่งคือ รณรงค์ให้คนจีนใช้จ่ายเงินให้มากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ผล คนจีนยังคงเก็บเงินไว้ในธนาคาร จนในที่สุดรัฐบาลต้องใช้วิธีที่ไม่อยากใช้ด้วยการลดดอกเบี้ยเงินฝากลง แต่ก็ไม่ได้ผลอีกเช่นกัน เมื่อไม่ได้ผลก็ลดให้ต่ำลงอีกโดยลำดับอีกสองสามครั้ง จนดอกเบี้ยเหลือต่ำจนการฝากไร้ความหมาย

แต่ก็ยังไม่ได้ผลอยู่ดี รัฐบาลจึงต้องเป็นฝ่ายรามือไปในที่สุด

 

ว่าที่จริงแล้วรัฐบาลจีนเองก็ยินดีที่ประชาชนของตนรักการอดออมอย่างมั่นคง ด้วยรู้ดีว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะการไม่ตั้งอยู่ในความประมาทของคนจีนเอง ที่รู้ว่าได้เกิดวิกฤตขึ้นในไทย เมื่อเป็นเช่นนี้รัฐบาลจีนจึงต้องหันไปหาวิธีอื่น

อย่างไรก็ตาม การอดออมของคนจีนไม่เกี่ยวอะไรกับการใช้จ่ายเงินของคนจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะตั้งแต่ ค.ศ.2001 เรื่อยมา ฐานะของคนจีนดีขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้าเป็นอย่างมาก จนทำให้คนจีนใช้จ่ายเงินได้มากและคล่องขึ้น

นอกจากนี้ การอดออมที่ว่าก็ยังไม่เกี่ยวกับค่านิยมอื่นๆ ที่รัฐบาลจีนเองไม่สนับสนุนและไม่สบายใจ เช่น ค่านิยมบริโภคนิยม ค่านิยมบูชาเงินตรา ค่านิยมตะวันตก เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลจีนพยายามที่จะรณรงค์ให้คนจีนเลิกมีค่านิยมดังกล่าว

ส่วนที่ว่าทุกวันนี้คนจีนใช้จ่ายเงินมากขึ้นแล้วไม่เกี่ยวอะไรกับการอดออมนั้น หมายความว่า คนจีนยังอดออมอยู่ แต่ส่วนที่ใช้เป็นส่วนที่เหลือจริงๆ เราจึงเห็นคนจีนเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก และไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่คนจีนนิยมมามากที่สุด

ที่สำคัญ การที่คนจีนใช้จ่ายเงินมากขึ้นแต่ก็ยังอดออมนั้น เราอาจจะดูได้จาก ค.ศ.2018 หรือ 2019 เป็นต้นไปว่าคนจีนมีแนวโน้มที่จะลดการใช้จ่ายเงินลง ด้วยเป็นช่วงที่เศรษฐกิจจีนเริ่มถดถอย และยิ่งต้องประสบเข้ากับสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกาด้วยแล้วยิ่งต้องระวัง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมิได้หมายความว่าเศรษฐกิจกำลังจะวิกฤต

ดังนั้น นับจาก ค.ศ.2019 เป็นต้นไป หากคนจีนมาเที่ยวไทยน้อยลงก็ไม่ควรโทษรัฐบาลหรือโทษตัวเอง แต่เป็นเพราะเหตุที่ว่าจริงๆ จะว่าไปแล้วเรื่องเศรษฐกิจก็ไม่ต่างกับเรื่องอื่นๆ ในโลกที่ย่อมมีขึ้นมีลง คือมีความเป็นอนิจจังอยู่ในตัวของมันเอง

ไม่มีชาติใดในโลกที่มีเศรษฐกิจดีหรือเลวไปตลอดชาติ

 

อย่างไรก็ตาม ตอนที่ไปจีนในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ได้มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองอยู่สองเรื่องอย่างที่ไม่คาดคิด

เรื่องหนึ่งคือ การได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์พิเศษที่คณะรัฐศาสตร์ ซึ่งมีที่ตั้งติดกับสถาบันเอเชียฯ

การเป็นอาจารย์พิเศษนี้จะไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ ด้วยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในหน่วยงาน (มหาวิทยาลัย) เดียวกัน แต่ที่รับเป็นอาจารย์พิเศษ ด้วยเพราะผู้เชิญคงเห็นว่ามีคุณสมบัติที่จะบรรยายได้

ในขณะที่โดยส่วนตัวแล้วมีเหตุผลสามประการ หนึ่ง-รับด้วยถือว่าเป็นเกียรติ สอง-รับโดยไม่คิดเรื่องเงินค่าตอบแทนเป็นตัวตั้ง สาม-รับโดยเห็นว่ามีความรู้พอในวิชาที่จะบรรยาย และคิดว่าจะมีประโยชน์แก่นิสิตในฐานะผู้เรียน

ตอนที่รับเป็นอาจารย์พิเศษนั้นไม่คิดเลยว่าต่อมาจะเปลี่ยนชีวิตของตนเองอย่างสำคัญ

 

อีกเรื่องหนึ่งคือ ใน ค.ศ.2000 ได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านเกิดของบิดาที่จีนซึ่งเป็นถิ่นของจีนฮากกา เรื่องนี้เกิดขึ้นด้วยกัลยาณมิตรคนหนึ่งให้บังเอิญว่าจะไปถิ่นนั้นพอดี จึงแจ้งมาว่าจะให้เธอตามหาญาติข้างบิดาให้หรือไม่

ตอนนั้นนอกจากหลักฐานที่เป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่ญาติทางนั้นเขียนมาถึงเมื่อกว่าสิบปีก่อนหน้านี้แล้ว ก็ไม่มีหลักฐานอะไรอีกเลยที่จะทำให้รู้ถึงที่อยู่ของญาติทางนั้น จึงได้ส่งโทรสารจดหมายฉบับนั้นให้กัลยาณมิตรผู้มีน้ำใจท่านนี้

และเมื่อเธอกลับมาไทย เธอก็มาพร้อมกับจดหมายฉบับใหม่และรูปถ่ายของญาติทางนั้นมาให้

แต่ที่ซาบซึ้งในน้ำใจมากก็คือ เรื่องเล่าของเธอที่ว่า เมื่อดูจากที่อยู่ของญาติแล้วก็พบว่าจะต้องเดินทางจากตัวเมืองไปอีกกว่า 50 กิโลเมตร ครั้นไปถึงชาวบ้านแถวนั้นก็บอกว่าที่อยู่ที่ว่าเป็นโรงเรียน โรงเรียนนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างจากถนนใหญ่ลึกเข้าไปอีกไม่กี่กิโลเมตร ซึ่งรถยนต์เข้าไปไม่ได้ เธอและญาติผู้ใหญ่ที่นำเธอไปจึงต้องใช้บริการรถจักรยานยนต์ (วินมอเตอร์ไซค์) เข้าไป

เธอว่าตลอดสองข้างทางเป็นท้องนา ซ้ำบางช่วงรถต้องวิ่งบนคันนา ครั้นพอไปถึงก็รู้จากชาวบ้านว่าญาติผู้นั้นได้เกษียณไปแล้ว แต่ชาวบ้านก็บอกที่อยู่ที่บ้านของญาติผู้นี้แก่เธอ เมื่อเดินทางต่อไปอีกก็พบญาติผู้นี้ในที่สุด

เรื่องเล่านี้ทำให้รู้ว่า หลายสิบปีนับแต่ที่บิดาจากบ้านเกิดมายังไทยนั้น ครอบครัวตระกูลของท่านยังคงอาศัยอยู่ที่เดิมที่เป็นบ้านนา บ้านช่องห้องหอแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย

หลังจากที่ได้อ่านจดหมายของญาติผู้นี้แล้วก็สัมผัสได้ถึงความผูกพัน จึงได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้พี่ชายคนรองของตนเองฟัง หลังจากนั้นอีกหลายเดือนต่อมา ทั้งตนเองและพี่ชายอีกสองคนจึงได้เดินทางไปเยี่ยมญาติข้างบิดาในที่สุด

การพบกันครั้งนั้นทำให้รู้ว่าญาติข้างบิดาที่แตกสายกระจายพันธุ์กันไปมีหลายร้อยคน มีหลายเรื่องที่ชวนประทับใจ เช่น ได้เห็นห้องพักของบิดาที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเล้าหมู หรือได้สนทนากับผองญาติทั้งปวงโดยที่ไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้าค่าตากัน

แต่ก็เชื่อและสนิทใจกันยิ่งนัก เป็นต้น