ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 พฤษภาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
สุจิตต์ วงษ์เทศ
อินทราภิเษก สมัยอยุธยา
ชักนาคดึกดําบรรพ์ ด้วยหนังใหญ่
โขนมาจากหนังใหญ่ เล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ (กวนเกษียรสมุทร) มีหลักฐานอยู่ในกฎมณเฑียรบาลสมัยต้นอยุธยา ที่อ่านยาก เข้าใจยาก เพราะเขียนด้วยสำนวนภาษาชั้นสูง และเก่าแก่ราว 500 ปีมาแล้ว
ผู้รู้ทางอักษรศาสตร์ด้านนี้มีมาก แต่ยังไม่ได้ถอดความให้ง่ายสำหรับคนทั่วไปอ่านเบื้องต้น
ผมอยากรู้ แต่อ่านไม่ได้ศัพท์ เลยจับมากระเดียดอย่างอ่อนหัด เพื่อแก้ขัดไปพลางก่อน
สาระสำคัญ
พระราชพิธีอินทราภิเษก มีหนังใหญ่เล่นชักนาคดึกดําบรรพ์ สมัยต้นกรุงศรีอยุธยา เรือน พ.ศ.2000
หนังใหญ่ ฉลักฉลุเป็นรูปต่างๆ ได้แก่ เทวดา, สัตว์หิมพานต์, และอื่นๆ (เล่นชักนาคดึกดําบรรพ์ในพระราชพิธีอินทราภิเษก) มีบอกดังนี้
“ยอดพระสุเมรุรูปพระอินทร์”, “รูปอสูรกลางพระสุเมรุ”, “รูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ในตีนพระสุเมรุ”, “ไกรลาสรูปพระอีศวรเป็นเจ้าและนางอุมาภควดี” ตลอดจน “รูปยักษ์คนธรรพ์รากษสยืนตีนพระสุเมรุ”, “รูปคชสีห์ราชสีห์สิงโตกิเลนเลียงผาช้างโคกระบือและเสือหมี” ฯลฯ
หน้ากาก ตํารวจเล็กกับมหาดเล็กใส่หน้ากากเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์โดยแต่งเป็นรูปต่างๆ มี อสูร, เทวดา, วานร ฯลฯ แล้วสวมลอมพอกบนศีรษะ (เพราะครั้งนั้นยังไม่มีศีรษะโขน แต่จะเริ่มมีสมัยปลายอยุธยา-ต้นรัตนโกสินทร์)
การละเล่น ชักนาคดึกดําบรรพ์เป็นการละเล่นกวนเกษียรสมุทรในพิธีกรรมทางการเมืองของรัฐ (หรือนาฏกรรมแห่งรัฐ) ที่ทุกคนอยู่ในพิธีล้วนมีส่วนร่วมการละเล่น จึงไม่เป็นมหรสพ ไม่เป็นการแสดง เพราะไม่มีคนดูแยกต่างหากจากคนเล่นหรือแสดง
หมายกําหนดการระบุต่างหากในตอนท้ายว่ามีมหรสพ 30 วัน แสดงมหรสพมีคนดูการแสดงซึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่ชักนาคดึกดําบรรพ์
เครื่องประโคม ไม่พบในหมายกําหนดการ แต่เชื่อว่ามีประโคมเพลงตามช่วงเวลาสําคัญเป็นที่รับรู้กันด้วยเครื่องประโคมศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ แตร, สังข์, บัณเฑาะว์ และปี่พาทย์ฆ้องวง (หมายถึง ปี่, กลองทัด, ฆ้องวง แต่ไม่มีระนาด)
อินทราภิเษก หมายถึง รดน้ำสถาปนาพระอินทร์เป็นใหญ่ที่สุดของทวยเทพบนสวรรค์ ด้วยการชักนาคดึกดําบรรพ์ คือ กวนเกษียรสมุทร ได้น้ำอมฤตเป็นสัญลักษณ์ของพลังอํานาจเหนือผู้อื่น
แสดงว่ายกย่องพระอินทร์เป็นเทวราชสูงสุดของบ้านเมืองนับถือพุทธศาสนา เถรวาทอย่างกรุงศรีอยุธยา โดยอาศัยพิธีกรรมความเชื่อลัทธิเทวราชของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู วิษณุนิกายแบบนครวัด ในกัมพูชา
จึงพบว่าในกฎมณเฑียรบาลข้อความพรรณนาพระราชพิธีนี้ระบุตําแหน่งพระอินทร์เป็นเทวดาใหญ่สุด และประทับบนเขาพระสุเมรุ มียอดเขาสูงสุดกว่าภูเขาอันเป็นที่ประทับของเทวดาอื่นๆ
ถือน้ำสาบาน คือ ถือน้ำพระพัทธ์ (เดิมเรียกถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา) ทําวัน 14 ของพระราชพิธีอินทราภิเษก นับเป็นกิจกรรมสําคัญอย่างหนึ่งของชักนาคดึกดําบรรพ์
เป็นพิธีกรรมแสดงอํานาจของพระเจ้าแผ่นดิน ที่ได้รับยกย่องเป็นพระจักรพรรดิราช
สนามหน้าวังหลวง อยุธยา
สรุปความอย่างสังเขปจากกฎมณเฑียรบาล (แต่งตราขึ้นราว พ.ศ.2000) โดยพยายามทำให้อ่านง่าย ดังนี้
พระราชพิธีอินทราภิเษกจัดบริเวณสนามหน้าวังหลวง (สมัยหลังเรียกสนามหน้าจักรวรรดิ) ถึงหน้าวัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวแนวเหนือ-ใต้ แบ่งพื้นที่ 2 ส่วน เรียกในสนาม กับ นอกสนาม
ในสนาม จําลองภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไว้กลางสนาม พร้อมตั้งราชวัติ, ฉัตร, ธง
เขาพระสุเมรุ สูง 50 เมตร เรียกเป็นเหลี่ยม มีเหลี่ยมทอง, เหลี่ยมนาก, เหลี่ยมแก้ว, เหลี่ยมเงิน – เขาอิสินธร สูง 40 เมตร เหลี่ยมนาก – เขายุคุนธร สูง 40 เมตร เหลี่ยมทอง – เขากรวิก สูง 30 เมตร เหลี่ยมเงิน – เขาไกรลาส สูง 20 เมตร เหลี่ยมเงิน
เขาพระสุเมรุ รูปพระอินทร์ตั้งบนยอดเขา รูปอสูร ตั้งอยู่กลางเขา, รูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ ตั้งอยู่ตีนเขา, รูปนาค 7 เศียร เกี้ยวพันรอบเขา รูปตั้งตีนเขาประกอบด้วย (อมนุษย์และสัตว์หิมพานต์) ยักษ์, คนธรรพ์, รากษส, คชสีห์, ราชสีห์, สิงโต, กิเลน, เลียงผา, ช้าง, โค, กระบือ, เสือ, หมี
เขาไกรลาส รูปพระอีศวรกับนางอุมาภควดีตั้งบนยอดเขา
นอกสนาม อสูรยืนนอกกําแพง มีโรงรํา, โรงระทาดอกไม้
ขุนนางข้าราชการฝ่ายมหาดไทยเตรียมพร้อมสนองงานชักนาคดึกดําบรรพ์ ตํารวจเล็ก 100 คน แต่งเป็นอสูร ชักทางหัวนาค มหาดเล็ก 100 คน แต่งเป็นเทวดา ชักทางหางนาค และอีก 103 คน แต่งเป็นพาลี, สุครีพ, มหาชมภูกับบริวาร ชักปลายหางนาค
รอบๆ สนามมีพนักงานกลุ่มต่างๆ ได้แก่ กองช้าง, กองม้า และกองจตุรงค์ ขุนนางระดับสูงต่ำแต่งเครื่องเต็มยศตามลําดับศักดินา บางพวกถือดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง ตามตําแหน่ง พร้อมข้าวตอกดอกไม้ถวายบังคม
บริเวณกั้นด้วยราชวัติเป็นพื้นที่พักรอของพราหมณ์ตระกูลต่างๆ ตามหน้าที่
หมายกําหนดการ
วันแรก-วัน 5 (มีข้อความบอกไว้ทุกวัน แต่อ่านเข้าใจยากและไม่เข้าใจ คล้ายระบุเป็นช่วงเตรียมงานสําเร็จใน 5 วัน)
วัน 6 ชักนาคดึกดําบรรพ์ ตั้งน้ำสุรามฤต (อมฤต) 3 ตุ่ม ตั้งช้างเอราวัณ, ม้าเผือก, โคอุสุภราช, ครุฑ ฯลฯ ตั้งเครื่องสรรพยุทธ, เครื่องช้าง, เชือกบาศก์, หอก, โตมร, ของ้าว ทั้งหมดชุบ (แช่) ในตุ่มน้ำสุรามฤต
วัน 7 รูปเทวดาในพิธีชักนาดึกดําบรรพ์ พระอีศวร, พระนารายณ์, พระอินทร์, “พระพิศวกรรม์” (เทวดาท้องถิ่น) เชิญทั้งหมดร้อยเรียงลําดับกัน พร้อมถือเครื่องสํารับถวายพระพร (พระเจ้าแผ่นดิน)
วัน 8 พราหมณ์ถวายพระพร – วัน 9 ท้าวพญาถวายพระพร – วัน 10 ถวายช้างม้าจตุรงค์ – วัน 11 ถวายพระคลัง – วัน 12 ถวายส่วยสัดพัฒยากร – วัน 13 ถวายเมือง – วัน 14 ถือน้ำสุรามฤต – วัน 15 ยกบํานาญถวายเทวดา – วัน 16 ยกรางวัลให้ท้าวพญา – วัน 17 ยกรางวัลให้ขุนหมื่น – วัน 18 พระราชทานรางวัลแก่พราหมณาจารย์ – วัน 19, 20, 21 “ซัดกรรมพฤกษ” (รวมสามวัน) – วัน 22, 23, 24 “ปรายเงินทอง” (รวมสามวัน)
เล่นมหรสพ 30 วัน ตั้งรูปกุมภัณฑ์ สูง 40 เมตร มหาดเล็กแต่งเป็นวานร ลอดออกจากหู, ตา, จมูก, ปาก (ของกุมภัณฑ์)
ครั้นเสร็จการพระราชพิธีเหล่านั้นหมดแล้ว เสด็จราชรถให้ทานรอบเมือง จบการอินทราภิเษก
ทำให้อ่านง่าย
ทั้งหมดที่เขียนเล่ามานี้ ผมดัดแปลงเป็นเบื้องต้นให้อ่านง่าย ผู้ศึกษาค้นคว้าวิจัยเรื่องโขนควรพยายามอ่านจากต้นฉบับจริง แล้วทำความเข้าใจด้วยตนเอง ซึ่งอาจมองต่างจากที่เล่ามานี้ก็ได้ ไม่มีข้อยุติ