ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ : ประวัติศาสตร์สังคม “คน” จันทบุรี ที่ไม่มีกำแพง

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
ตัวอย่างการจัดการความรู้อย่างง่ายๆ (และคงไม่ต้องใช้ทุนในการจัดการมากนัก) ด้วยการทําป้ายบอกเล่าความเป็นมาของชุมชน และแผนที่ภายในชุมชนของตนเอง

ชุมชนริมฝั่งน้ำจันทบุรี (ที่เรียกกันอีกอย่างว่า แม่น้ำจันทบูร) ตามประวัติศาสตร์ฉบับทางการ ของหน่วยงานราชการต่างๆ ว่าไว้ เพิ่งจะเริ่มมีขึ้นเมื่อหลัง พ.ศ.2200 เท่านั้น

เพราะแต่เดิมเมืองจันท์ตั้งอยู่ที่หน้าเขาสระบาป มีอายุเก่าแก่นับพันปี ดังจะเห็นได้ว่าในพื้นที่บริเวณนั้น มีร่องรอยของเมืองและกำแพงเมือง ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมขอมโบราณอยู่คือ เมืองเพนียด และอีกสารพัดร่องรอยสิ่งปลูกสร้าง และโบราณวัตถุของวัฒนธรรมขอมโบราณ

และเมื่อเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมขอมโบราณ เมื่อถึงช่วงที่อารยธรรมขอมร่วงโรยลง ในช่วงหลัง พ.ศ.1800 ประวัติศาสตร์ฉบับหลวงก็ย่อมมักจะอธิบายว่า ดินแดนที่อยู่ในปริมณฑลอำนาจของขอมก็จะร่วงโรยตามไปด้วย

ชุมชนที่บริเวณเขาสระบาปก็จึงต้องอพยพตัวเองมาสร้างบ้านเมืองใหม่ อยู่ที่บ้านหัววัง ตำบลพุงทลาย ทางฟากตะวันออก ใกล้ๆ แม่น้ำจันทบุรีนี่เอง ก่อนที่สุดท้ายใน พ.ศ.2200 จะค่อยข้ามแม่น้ำกันมาทางฟากตะวันออก กลายเป็นชุมชนย่านเมืองเก่า ริมฝั่งน้ำจันทบุรี ในปัจจุบัน

ถึงแม้ว่า ประวัติเมืองจันท์ในเอกสารราชการจะบอกอย่างนั้นมาแต่ดั้งเดิม แถมยังผลิตซ้ำอยู่อย่างนี้อีกเรื่อยๆ มาจนทุกวันนี้ โดยไม่แคร์สื่อเลยว่า ตำบล “พุงทลาย” จะเปลี่ยนชื่อเป็นตำบล “จันทนิมิต” ไปนานแล้ว จนทำให้นักเรียนนักศึกษาหาตำบลที่ว่าไม่พบ เวลาที่จะทำความเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์จันทบุรีเอาง่ายๆ

และเอาเข้าจริงแล้ว เขตพื้นที่บ้านหัววัง ตำบล “จันทนิมิต” หรือพุงทลายแต่ดั้งเดิมนั้น ก็ห่างจากย่านเมืองเก่า ริมฝั่งน้ำจันทบุรี ไปเพียงไม่ถึง 2 กิโลเมตร เท่านั้นเอง

มันจึงเป็นไปไม่ได้หรอกนะครับ ที่เมื่อคนมาตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนอยู่ที่บ้านหัววังแล้ว ในช่วงตลอดระยะเวลา 400 ปี นับจาก พ.ศ.1800 มาจนถึง พ.ศ.2200 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ประวัติศาสตร์ฉบับทางการว่า พื้นที่ทางฟากตะวันตกริมฝั่งแม่น้ำเพิ่งเป็นบ้านเป็นเมืองเอาตอนนั้น จะไม่เคยมีใครคิดจะข้ามแม่น้ำจันทบุรีมาทางฟากตะวันตก ตรงที่เป็นย่านเมืองเก่าจันทบุรีในปัจจุบันเลย

แถมในเขตพื้นที่ชุมชนทางฟากตะวันตกของแม่น้ำยังมีการค้นพบ ชิ้นส่วนของทับหลังในวัฒนธรรมขอมโบราณ ที่มีอายุอยู่ในช่วงหลัง พ.ศ.1500 ลงมา (อย่างที่มีศัพท์เทคนิคเรียกว่า ทับหลังแบบบาปวน) และบรรดาข้าวของในอารยธรรมขอมครั้งกระโน้นเก็บรักษาไว้ที่วัดโบสถ์เมือง แถวๆ ชุมชนริมฝั่งน้ำที่ว่านั่นอีกต่างหาก

ผมไม่แน่ใจว่า จะมีใครคิดแบกเอาชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมขอมโบราณพวกนี้ มาจากที่เมืองเพนียด แถวๆ เขาสระบาปที่ห่างออกไปแค่ประมาณ 6 กิโลเมตร หรือเปล่า?

แต่มันน่าจะเป็นไปได้มากกว่าไหมที่พื้นที่บริเวณสองฝั่งน้ำจันทบุรี ไม่ว่าจะเขตย่านเมืองเก่าในปัจจุบัน หรือเขตบ้านหัววัง ตำบลจันทนิมิต จะเป็นเมืองในขอบข่ายปริมณฑลของเมืองเพนียดมาก่อน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ติดเส้นทางคมนาคมสำคัญในการออกสู่ทะเลอ่าวไทยคือ แม่น้ำจันทบุรี?

สมมติว่าข้อสมมติฐานของผมถูก ชุมชนสองฝั่งแม่น้ำไม่ว่าจะซีกตะวันตกที่เรียกกันว่าเป็นย่านเก่าในปัจจุบัน หรือฟากตะวันออก แถบบ้านหัววัง ตำบลจันทนิมิต ก็เก่าแก่มาตั้งแต่ยุคขอมเรืองอำนาจ เมื่อพันกว่าปีก่อนนั่นเอง

ทั้งสองฟากข้างของแม่น้ำจันทบุรีในอดีต ก็คงมีสภาพไม่ต่างจากสองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาแถบปากคลองบางกอกใหญ่ หรือคลองบางหลวง (คือบริเวณใกล้ๆ กองบังคับการกองทัพเรือ หรือพระราชวังเดิมของพระเจ้ากรุงธนบุรีในปัจจุบัน) ที่มีชุมชนทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำมาแต่เดิมแล้ว

ไม่ใช่อย่างที่ประวัติศาสตร์ฉบับที่หน่วยราชการใช้ และบอกกับผู้คนทั้งที่จันทบุรี และที่อื่นๆ ทั่วประเทศเสียหน่อย

แต่ประวัติศาสตร์ฉบับทางการจะเป็นเช่นไรก็ช่างมันเถอะนะครับ ในเมื่อชุมชนที่ย่านเก่าริมฝั่งน้ำจันทบุรีมีความเข้มแข็งพอ แถมยังเห็นค่าถึงประวัติศาสตร์รากเหง้าของตนเองอีกต่างหาก

ในปัจจุบันนี้ถ้าใครผ่านไปยังย่านเก่าริมฝั่งน้ำจันทบุรีที่ว่า นอกเหนือจากร้านขนม ร้านกาแฟ โรงแรม ร้านค้า หรือแม้กระทั่งร้านอาหารชิกๆ สไตล์สโลว์ไลฟ์แล้ว ก็จะเห็นได้ว่าทั่วทั้งชุมชนมีแผ่นป้ายแสดงข้อมูลประวัติความเป็นมาของชุมชน ทั้งภาพของชุมชนโดยรวม ความสำคัญของสถานที่ ตึกอาคารแต่ละแห่ง รวมไปถึงแผนที่แผนทาง

ที่สำคัญคือไม่เชย และตอบโจทย์สังคมร่วมสมัยได้เป็นอย่างดีด้วย

ผมคิดว่าลักษณะอย่างนี้แหละครับที่ฝรั่งเรียกว่า “มิวเซียม” (museum) เพราะตามรากศัพท์ แล้ว “museum” มาจากภาษากรีกโบราณแปลว่า “บัลลังก์ของเทพมิวส์” (Muse) ซึ่งเป็นคณะเทพธิดาที่ทั้งดลบันดาลและอำนวยพรให้เกิดทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” หรือ “ความรู้” ต่างๆ

แถมยังมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่าเมื่อ พิธากอรัส (Pythagoras มีชีวิตอยู่เมื่อราว 570-495 ปีก่อนคริสตกาล) นักปรัชญา และนักคณิตศาสตร์คนสำคัญของโลกชาวกรีก ได้เดินทางเข้าไปถึงเมืองโครโตเน (Crotone ปัจจุบันอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี)

คำแนะนำแรกที่ท่านให้แก่ชาวเมืองก็คือ ให้สร้างสถานบูชาเทพมิวส์เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ และให้ชาวเมืองกลมเกลียวกัน

ดังนั้น โดยนัยยะสำคัญแล้ว “มิวเซียม” จึงหมายถึงสถานที่ที่มีการจัดการความรู้มากกว่าจะหมายถึงอย่างอื่น

คําว่า “มิวเซียม” จึงที่ผมหมายถึง มีความหมายต่างไปจาก “พิพิธภัณฑ์” นะครับ

เพราะ “พิพิธภัณฑ์” เป็นศัพท์ผูกใหม่ โดยถ่ายถอดมาจากคำว่า “มิวเซียม” (museum) ในภาษาอังกฤษออกมาเป็นคำไทยในความหมายที่คลาดเคลื่อนออกไปจากความหมายเดิมของฝรั่งอยู่มาก

คำว่า พิพิธภัณฑ์ ปรากฏขึ้นครั้งแรกผสมอยู่ในคำที่ผูกเป็นชื่อ “พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์” ใช้เก็บโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ หรือเครื่องราชบรรณาการจากต่างประเทศ (คำว่า “ประพาส” แปลว่า “เที่ยวเล่น” ส่วน “พิพิธภัณฑ์” ตามรูปศัพท์แปลว่า “ของแปลก”) สร้างขึ้นเมื่อสมัยรัชกาลที่ 4 พระที่นั่งองค์ดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนสถานที่เก็บคอลเล็กชั่นส่วนตัวของพระเจ้าแผ่นดินสยาม ใช้ต้อนรับพระราชอาคันตุกะบ้าง แต่ไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปเที่ยวชม

ทุกครั้งที่เสด็จประพาสยังต่างแดน พุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ไม่เคยตรัสเรียก “museum” ว่า “พิพิธภัณฑ์” เลยสักครั้ง หากแต่เรียกอย่างทับศัพท์ว่า “มิวเซียม” แม้กระทั่งเมื่อโปรดให้นำวัตถุต่างๆ ที่สะสมไว้ในพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์มาจัดแสดงไว้ ณ หอคองคอเดีย (ปัจจุบันคือ ศาลาสหทัยสมาคม อยู่ทางเข้าวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้านทิศตะวันตก) ก็เรียกการจัดแสดงนั้นว่า “เอกษบิชั่น” (exhibition) ตรงกับคำแปลในภาษาไทยว่า “นิทรรศการ” เพิ่งจะในสมัยรัชกาลที่ 6 นี่เอง ที่เรียก “มิวเซียม” ว่า “พิพิธภัณฑ์”

โดยรากทางประวัติศาสตร์แล้ว พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ของไทยเราจึงมีลักษณะเป็นสถานที่เก็บของเก่า แสดงของแปลก มากกว่าที่จัดแสดงประวัติความเป็นมาหรือองค์ความรู้ต่างๆ ตามความหมายของคำว่า “museum” ในภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ต้น

ดังนั้น “มิวเซียม” จึงไม่จำเป็นต้องมีของเก่าๆ หรือของมีค่าในแง่ของราคาค่างวดมาตั้งโชว์ แต่แสดงให้เห็นถึง “คุณค่า” ของความรู้หรืออะไรที่กำลังจัดการนั่นแหละวิเศษที่สุดแล้ว

มีคำของนักปราชญ์ที่ว่า “ความรู้ไม่มีพรมแดน” การจัดการความรู้ก็ยิ่งไม่ควรมีพรมแดน “มิวเซียม” จึงไม่ต้องมี “กำแพง” มาเป็นขอบเขตปิดกั้นพรมแดนของตัวเองก็ได้

ใช้ความรู้ และปริมณฑลทางสังคมวัฒนธรรมของคนเองนั่นแหละ เป็นพรมแดนที่ไม่ต้องถูกสิ่งปลูกสร้างอะไรมาปิดกั้น อย่างที่ย่านเก่าชุมชนริมแม่น้ำจันทบุรีทำนั่นแหละครับ ดีงามมากๆ แล้ว เพราะที่เห็นและเป็นอยู่ ชุมชนแห่งนี้ก็เปรียบได้กับ “มิวเซียมที่ไม่มีกำแพง”