ในสว่าง มีมืด โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่12 / สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

——————-

ในสว่าง มีมืด

———————–

ฟังคำแถลงของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

หลังถูก “ปิดสวิตช์”

คิดไปถึง กวีบทหนึ่ง

และหนังสือเล่มหนึ่ง

กวีที่ว่าคือ

คืนนี้มืดใช่มืดสนิท ไฟดวงนิดยังมีแสง

ขอเพียงลมพัดแรง เถ้ามอดแดงก็จะลาม

ทุ่งนี้รกใช่รกหมด นั่นข้าวสดขึ้นแทรกหนาม

ขอเพียงฝนจากฟ้าคราม ข้าวจะงามทั่วหญ้าคา”

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ปี พ.ศ.2518

(ข้อมูล-GotoKnow โดย กานท์กวี ใน ๑๐๐ กวีวรรคทอง https://www.gotoknow.org/posts/212335)

ส่วน หนังสือที่ว่า คือ

เยิรเงาสลัว ของ จุนอิชิโร ทานิซากะ

สุวรรณา วงศ์ไวศยวรรณ แปลเป็นไทย

“ถ้าแสงมีอยู่น้อยเราก็ยอมรับว่ามีอยู่น้อย

เราจะปล่อยตัวเราให้ซึมซาบในความมืด

และ ณ ที่นั้น เราก็พบความงามตามแบบอย่างของมัน”

คำรีวิวหนังสือ ของร้านหนังสือออนไลน์ รี้ดเดอรี่ สรุปได้ดี ว่าเหตุใดทำไมจึงคิดถึงหนังสือดังกล่าว

เป็นการคิดถึง กวี “ความหวัง” และหนังสือเยิรเงาสลัว ที่ทำให้ สงบ ไม่พลุ่งพล่าน

และไม่สิ้นหวัง ว่าแม้ตกอยู่ในความ”มืดสลัว”

แต่ก็ยังมี”แสงสว่าง”

เราเพิ่งผ่านการรัฐประหาร ครั้งสุดท้ายมา 5 ปี

เป็น 5 ปี ที่ฝ่ายอำนาจนิยม และอนุรักษ์นิยม หลอมตัวเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างเข้มแข็ง

มีการปรับตัว รื่นไหล ยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์

เพื่อหวังให้การ “สถาปนาอำนาจ”ของฝ่ายตน แข็งแกร่ง มั่นคง ต่อไป

ขุนศึก-ขุนนาง มิได้ทำเพียงแค่การใช้กำลัง หรืออำนาจ เข้าบังคับทำลาย ให้สยบยอมเช่นเดิม

หากแต่ย้อนกลับขึ้นไปถึง “ต้นน้ำ”

แล้ว ออกแบบ กลไก กฏหมาย ตั้งแต่สูงสุดคือ “รัฐธรรมนูญ” ละเรื่อยลงไปถึงกฏหมายลูก กฏระเบียบ คำสั่ง

เพื่อมาปกครอง ในนามของกฏหมาย

มิใช่ปกครอง “ลุ่นๆ” ด้วยอำนาจอย่างเดิมๆ

ด้วยเหตุนี้ คณะรัฐประหาร จึงมีเสื้อในนามความเป็นธรรม คลุมร่างมาโดยตลอด

ทำให้อยู่ได้นานกว่าในอดีต และยังทะเยอทะยานที่จะสืบทอดไปอีก ร่วม 20 ปี

และวันนี้ เขายังสามารถเปิด สวิตช์ไฟ ให้สว่างโร่

เพื่อที่จะโชว์ “อำนาจใหม่” ภายใต้การเลือกตั้งที่กำหนดขึ้นโดยรัฐธรรมนูญ และกฏหมายต่างๆ ที่พวกเขาร่างและใช้เอง

วุฒิสภาถูกคุมอย่างเต็มรูปแบบ

ขณะเดียวกันก็เกลี่ยผลประโยชน์กับพรรคการเมือง เพื่อครอบครองอำนาจในสภาล่างและรัฐบาล

ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามเป้าหมายที่พวกเขาวางไว้

เช่นนี้ฝ่ายประชาธิปไตย ควรหมดหวังและสยบยอมอยู่ในความ “มืดสลัว” นี้เลยหรือไม่

ประเด็นนี้ ชวนให้ครุ่นคิด

เพราะหากยึดตามแนวกวี “ความหวัง” และหนังสือเยิรเงาสลัว

ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสิ้นหวัง ตรงกันข้ามยังแลเห็นความหวังในความมืดด้วย

ยิ่งกว่านั้นเมื่อมองออกไปยังฝ่าย ที่เปิดสวิตช์ไฟ จน “สว่างโร่”

ก็ใช่จะเห็นแต่แง่มุมดีหรือบวกเท่านั้น

เรายังเห็นมุมมืดในความสว่างด้วย

ว่าที่จริง ด้วยการทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างอย่างมากมายมหาศาล

พวกเขาน่าจะเถลิงอำนาจได้อย่างง่ายดาย

แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ใช่เช่นนั้น

ความปั่นป่วนในสภาในวันเลือกประธาน เกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

การฟอร์มตัวเพื่อตั้งนายกฯ-รัฐบาลจึงส่อยืดเยื้อ-ร้าวลึก

และยังจะได้รัฐบาลปริ่มน้ำอีก

สะท้อนว่า สิ่งที่ดีไซน์มาอย่างดีนั้น มี “จุดอ่อนมหึมา”

เป็นความมืดในสว่างที่เราแลเห็นแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นขณะที่พวกเขาหวังจะสืบอำนาจ

กลับมี “สิ่งใหม่” ที่บังเกิดขึ้นมาเขย่าอำนาจของพวกเขาอย่างเหนือความคาดหมาย

จนต้องมาเหนื่อยเพื่อขบคิดทำลายอีก

แม้ในเบื้องต้นจะปิดสวิตช์ลงได้

แต่ก็ชั่วคราว ยังไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด

นี่จึงเป็นสิ่งเหนือความคาดหมาย ไม่เป้นไปตามเป้าหมาย

ในความสว่างโร่ จึงมีความมืดและความกลัว อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้น!