การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ บอกฉันอีกครั้ง, บอกนะ

[มีความฉ่ำชื้นบนหญ้า แถวแนวคันนา ขณะเหยียบยืนบนมัน

เหล่านี้หรือเปล่าความฝัน

หรือใดเหล่านั้น ที่ฉันกำลังมองเห็น

ท้องทุ่งมีลมไหวเย็น ดอกหญ้าสีเทาโดดเด่น บางครั้งก็เล่นกับแดดแสงเงา

ฉันอยู่ที่นี่ค่ำเช้า ท่ามสิ่งเก่าเก่า ทว่าก็ใหม่ขึ้นมา

ฉันยืนจ้องมองท้องฟ้า แล้วพลางคิดว่า เธอทำอะไรอยู่หนอ

วันนี้ฉันตื่นตีห้า ออกมาพบลานข่วง, พ่อ ชายนั้นก่อไฟไว้รอ ได้ยินแว่วว่า น้องจะช่วยกวาดใบไม้

แม่อยู่ที่หน้าเตาไฟ ควันอุ่นกรุ่นไป ได้กลิ่นจิ๊นปิ้ง น้ำพริกหอม

นี่คือสิ่งที่แวดล้อม ทุกอย่างพรั่งพร้อม อึกทึกชีวิตชีวา

หากเพียงวาบวูบในตา บางความห่วงหา ไม่รู้อะไรทำไม

หรือฉันกำลังคิดใด ฉันคิดถึงใคร

มีไหมใครคิดถึงฉัน?

บางทีนี่คือรำพัน จากระริกนั่น สายน้ำเลาะตลิ่งไหล

บางคราวฉันถามหัวใจ

ฉันจะมีใคร และใครหรือจะมีฉัน?

ชีวิตคืออะไรเล่า แจ่มจ้า ทึมเทา ชั่วคราว ชั่วกัปชัวกัลป์

บางดึกระลึกห้วงสั้น แต่บางค่ำนั้น ตาแจ้งจวบจนรุ่งสาง

จากมืดถึงอรุณราง ม่านฟ้าสว่าง กระจ่างหรือยิ่งกลับหมอง?

นิ่งนับจังหวะนกร้อง ช้าช้าแสงส่อง ฉันมองดั่งเห็นตุ๊กตา

เงียบงันหรือจำนรรจา ปราศจากใบหน้า หรือว่านั่นแหละพวกเรา

อยู่กินดิ้นรนค่ำเช้า เพื่อจะผ่านเข้า

สู่ความว่างเปล่าสาบสูญ]

 

ฉันเขียนตัวหนังสือมากมายลงในสมุดปกลายไทยทุกวัน หลายค่ำคืนวัน ตัวหนังสือก็ทับถมมากขึ้นทุกที รู้ตัวอีกครั้ง ฉันก็มีบทกวีนับสิบๆ บทจดจารเอาไว้

ฉันเขียนมันเพื่อสิ่งใด…? บางที ก็อาจไม่มีคำตอบ เช่นเดียวกับที่ไม่อาจหาคำตอบ ทุกสิ่งเกิดมาจากอะไร

ฉันเข้าใจดี เวลาที่เราหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์ไม้ เหมือนเวลาไปทำงานในแปลงเพาะต้นกล้าใบยาสูบ เราหว่านเมล็ดลง พรวนดิน กลบฝัง เราวางฟางแห้งปิดหน้า เราให้น้ำตามเวลา ไม่นานนักกล้าอ่อนก็จะผลิต้นแตกใบ

ฉันเข้าใจดี เวลาที่ได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้ เมื่อผู้หญิงผู้ชายเอากัน การปฏิสนธิก็เกิดขึ้น

แต่เราเข้าใจจริงๆ หรือ อะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกอย่างเกิดขึ้น เพื่ออะไร ทำไม

 

[ในยามเริ่มแรก คนเราไม่รู้ว่าเขามาจากไหน (1) หรือจะไปไหน การพูดว่าคุณเกิดมาจากครรภ์มารดา และต้องกลับไปสู่ผงคลีดิน เป็นคำอธิบายทางชีววิทยา แต่ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรดำรงอยู่ก่อนการเกิด หรือโลกที่รอเราอยู่ภายหลังตาย

เกิดมาโดยไม่รู้เหตุผล เพียงเพื่อจะหลับตาและจากไปด้วยความไม่รู้อันหาที่สุดมิได้ มนุษย์แท้จริงแล้วช่างเป็นสัตว์โลกที่น่าสงสาร]

“เขาเขียนไว้ยังงั้นเหรอ” หวานถาม, ใช่ เคยถาม

“อือ” ฉันตอบ “เขาเขียนไว้ดีทุกหน้าเลย อยากฟังหมดไหมล่ะ”

“อยากฟัง แต่เธอจะว่าไหมล่ะ ถ้าฉันจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ บางทีฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”

มาหวนย้อนคิดกลับไป ฉันควรจะเฉลียวใจตั้งแต่ตอนนั้น เราช่างพูดกันแบบโง่ๆ ต่างคนต่างโง่ ต่างไม่มีใครรู้อะไรทั้งสิ้นเลย

[ไม่มีตะวันออกหรือตะวันตก ดวงตะวันขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก แต่นี่เป็นเพียงการสังเกตทางดาราศาสตร์เท่านั้น ความรู้ที่ว่าเรานั้นไม่เข้าใจทั้งตะวันออกและตะวันตกนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับสัจจะ ข้อเท็จจริงก็คือไม่มีใครรู้ว่าดวงอาทิตย์มาจากแห่งหนใด]

[หรือว่านั่นแหละพวกเรา

อยู่กินดิ้นรนค่ำเช้า เพื่อจะผ่านเข้า

สู่ความว่างเปล่าสาบสูญ

พินิจเพ่งปฏิกูล ขยะกองพูน มีหนอนตัวขาวคลานไต่

มะม่วงเปลือกอ้าเน่าใน เปลือกฉีกแล่งไป ในวันพายุพัดโถม

วาบครู่ฟ้าฟาดจู่โจม หวนถึงตระโบม มือหยาบและสาบเส้นผม

กร้านหนาขยำเนื้อนม น้ำลายถุยถ่ม กดหัวแทบจมซากหนอน

วาบวับห้องหับล้มนอน เจ็บร้าวผ่าวร้อน

ชีวิตทารุณไฉน

พุพลั่งหลั่งคุข้างใน เสียดแทงร่ำไป

เพื่อให้ยังรื่นรมย์หรือ]

 

เป็นที่รู้อย่างแน่ชัดแล้วว่า คำหวานกำลังจะออกจากหมู่บ้านไปในไม่ช้า ผู้คนพูดกันว่า คำหวานโชคดี มีคนเห็นหน่วยก้าน จะได้ไปทำงานในที่เงินเดือนดีๆ

พร้อมกันนั้น ก็มีเสียงพูดเข้าหูอยู่มากครั้ง ว่าที่โง่ง่าวกว่าใครได้แก่ตัวฉันเอง

 

“อีพี่! มึงยังบ่ไปเยียะก๋านกับมัน”

ป้าญิงคนหนึ่ง ซึ่งมีบ้านอยู่ไม่ห่างจากเรานัก เดินเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้า ตามองดูสมุดบนโต๊ะของฉัน

ฉันเพิ่งได้โต๊ะเขียนหนังสือมาใหม่ เป็นเงินจำนวนไม่น้อยที่ยอมควักจ่ายไป โดยพ่อติดต่อให้สล่าคนหนึ่งทำให้

เป็นโต๊ะเขียนหนังสือตัวที่สาม ถ้านับจากสองตัวแรกที่พ่อทำเอง แต่พวกนั้นเพียงต่อจากเศษไม้กระดานเก่าๆ ขาเตี้ย ไว้นั่งเขียนกับพื้น แต่โต๊ะใหม่นี้ทาชะแล็คสีส้มมันวับ มีเก้าอี้สำหรับนั่งคู่ด้วย

พ่อกับแม่ต่างก็ถูกใจว่ามันสวยงามสมราคา ทว่าฉันไม่ถูกใจสีที่เขาทาไม้นัก หากก็รัก…รักมัน เพราะนั่นคือสิ่งที่มาจากน้ำพักน้ำแรงและความใฝ่ฝัน

การมีโต๊ะเขียนหนังสือกว้างๆ ทำให้ฉันนั่งทำจุลสารได้สะดวกขึ้น เขียนหนังสือก็ราบรื่น เมื่อยหลังนักก็เอนพิงพนักเก้าอี้ได้ เสียดายที่ไม่สามารถถ่ายรูปได้ จึงทำได้เพียงเขียนไปบรรยายเล่าให้เพียงบัวฟัง

และวันนั้น คือเวลาที่ฉันกำลังเขียนจดหมาย อยากจะเล่าไปถึงโต๊ะที่เพิ่งได้มา

“แล้วนั่นเยียะหยัง?” มีเสียงถามดังมาอีก

มันเป็นน้ำเสียงที่น่าชัง ฉันรู้สึกอย่างนั้น และไม่จำเป็นจะต้องสนใจมัน แต่ฉันก็ต้องตอบไป

“เขียนจดหมาย…ไม่ได้ไป”

“แล้วทำไมมึงไม่ไป”

มีกระแสความร้อนเกิดขึ้น มันเกิดในความนึกคิดของฉัน แต่แปลกอยู่อย่างว่า ในวันนั้น ฉันรู้ตัวว่าฉันกำลังรู้สึกโกรธ

หากเป็นปกติที่ผ่านมา ฉันคงไม่รอช้าจะแสดงออกให้รู้ว่าฉันโกรธ มันเป็นเรื่องห่าเหวอันใด คนคนหนึ่งมีสิทธิ์อะไรจะมาซักไซ้คนอีกคนหนึ่ง

แต่ฉันกำลังเขียนจดหมาย…กำลังจะเล่าไปถึงเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในชั่ววันนี้ และคนบางคนที่นี่ ไม่ควรทำลายความสุขของฉัน

“ไม่อยากไป จะอยู่ทำสวนที่นี่”

“ทำสวน!”

ป้าญิงทำราวว่าที่ได้ยินนั้น คือสิ่งอันโง่เง่าเต็มที

นั่นไง ไม่ผิดจากที่คาดไว้

“พุทโธ ธัมโม เปิงเปิ้นว่ามึงมันผีบ้า อนาคตดีๆ รอท่าบ่ไป คิดจะทำไร่ทำสวน ที่นาฝ่ามือเดียวก็บ่มี พ่อแม่มึงบ่ว่าอะหยังกา มีลูกเรียนปอจบปอหกมา ยังง่าวใบ้ง่าวบอด!”

ถ้าฉันจะลุกออกไป ป้าญิงก็คงเดินตามไปพูดต่อกับพ่อแม่ การเอาโต๊ะเขียนหนังสือมาไว้วางไว้ใต้ถุนบ้าน ดูจะเป็นความผิดพลาดสิ้นดี

สุดที่จะพยายามข่มใจไหว ฉันหันไปพูดเรียบๆ ว่า

“นี่ตัวฉัน นั่นตัวป้า เอาเวลาไปสั่งสอนลูกตัวเองเถอะ”

ฉันรู้ว่า อีกในไม่ช้า ป้าญิงก็จะเป็นอีกคนที่คอยเล่าขวัญนินทาฉัน เฉกเช่นผู้คนอีกมากมายภายในหมู่บ้าน ซึ่งบางครั้ง ก็มีชีวิตไปวันต่อวัน และสนใจกันดั่งชีวิตอื่นเป็นมหรสพ

 

[เพียงบัว,

เหล่านี้จึงเป็นเหตุผล ที่ฉันยอมจำนนเธอด้วยความเคารพ

มีเธอเท่านั้น ทำให้ฉันพบ

ดีงามและความศรัทธา

หนังสือที่เธอส่งมา กับถ้อยวาจา ลึกซึ้งถึงอุดมการณ์

การงานมากกว่าการงาน นิยายนิทาน เหล่านั้นที่ฉันอ่านถึง

อีกครั้ง, สมุดหน้าหนึ่ง ฉันเขียนมาถึง จากก้นบึ้งห้วงหัวใจ

อีกครั้ง, ที่ฉันฝันใฝ่ โง่งมเพียงไร มา-ไปย่อมจากตัวฉัน

อีกครั้ง, ที่เราเข้าใจกัน ใช่ไหมบอกฉัน บอกฉันอีกครั้ง, บอกนะ

——————————————————————————————————————–
(1) จากหนังสือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เขียน รสนา โตสิตระกูล แปล