เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ | คลื่นเห่ทะเลหอม

“น้องอยู่ไหนแล้ว ไปดูซิ…”

พี่สาวตัวกะปุ๊กลุกผิวคล้ำแดดคล้ำลมละมือจากการจัดจานผัก เดินรี่ไปชายหาดที่คนเริ่มทยอยลงเล่นน้ำ ประเดี๋ยวเดียวก็อุ้มเจ้าน้องชายตัวกลมซึ่งดิ้นไม่ยอมจนต้องปล่อยลงดิน ได้ทีเจ้าตัวกลมหันกลับจะวิ่งลงหาดอีก พี่สาวจึงหวดมือซัดบ่าจนน้องร้องไห้จ้า

“เด็กมันกำลังซนน่ะ ห้ามยาก ต้องตามดูตามจับกันอย่างนี้แหละ”

แม่หันมาคุยกับลูกค้าเช่าเก้าอี้ผ้าใบที่นอนเขลงยิ้มขันกับภาพที่เห็น

“ครับ ธรรมชาติเด็กวัยนี้ก็อย่างนี้แหละ”

ที่ชายหาดกว้างจรดชายทะเล วัยรุ่นและหนุ่มสาวขวักไขว่อยู่ทั้งเดินเล่นวิ่งเล่น บ้างโผลงลุยทะเลราบเรียบไร้คลื่น

จากเก้าอี้ผ้าใบ เขาเห็นภาพอดีตครั้งลอยตัวอยู่ในน้ำ ประกายตาเจิดจ้าจากตาสาวเหมือนจะสะท้อนแววตาเขาเองอยู่ในแววตาคู่งามนั้นด้วย

ภาพอดีตฉายซ้ำแต่ให้ภาพไม่ซ้ำกันเลย ไม่ซ้ำที่ ไม่ซ้ำคน

ภาพสุดท้ายริมหาดเดือนมืดมีแต่ดาวพราวฟ้า

ขณะดาวตกวูบแล้ววูบเล่า

“ทิ้งฟ้าลงมาเรื่อยนะดาว”

เสียงเธอแผ่วหวานเหมือนรำพึงกับหมู่ดาว

คืนดึกเดือนครึ่งดวง เรานั่งล้อมกองไฟต่างแลกกันเล่าเรื่องอดีตที่ผ่านผัน ทั้งขำขันและขมขื่นแล้วล้วนไปด้วยเรื่องราวของความรักและความใฝ่ฝัน

“จงแยกให้ออกระหว่างความใฝ่ฝันกับเพ้อฝัน”

เหมือนจะเป็นวาทะปราชญ์ ที่ใครบางคนเอ่ยแทรกขึ้นมาตอนนั้น

เขาหันไปส่ายหน้าเชิงปฏิเสธกับเจ้าล็อตเตอรี่ขณะคลี่แผงโชว์เลขเด็ด

“สาหร่ายพวงไม้คะ”

แม่ค้าแบกถาดจิปาถะของทะเลพลางบรรยายสรรพคุณของสาหร่ายพวง เธอสาธิตวิธีล้าง วิธีกินเสร็จสรรพขณะเขาสนใจสั่งซื้อ

เจ้าหาบปูนึ่งกำลังแกะเนื้อปูกะเทาะก้ามเนื้อแน่นเรียงรายใส่กล่องส่งลูกค้ากลุ่มเก้าอี้หมู่ถัดไป เธอหันมาทางเขา

“รับปูไหมคะ”

เขายิ้มตอบแต่ส่ายหน้าเมื่อเหลือบเห็นราคาบนแผงที่ติดไว้ข้างสาแหรก

จู่ๆ ก็นึกถึงงาน ภาระค้างอยู่คือต้องติดต่อขายสินค้าตัวใหม่กับลูกค้าใหม่ให้ได้ เขาก็เหมือนแม่ค้าปูหาบเจ้านี้ ที่บริการให้สะดวกสุด ดีสุด และราคาต้องสมควรสุดด้วย

แดดยามเย็นกำลังไล้ทาผิวทะเลเรียบอย่างอ่อนโยน คู่สูงวัยชาย-หญิงนอนเก้าอี้ผ้าใบหันหน้าไปทางทะเลเหมือนจะเพลินชมภาพโลดเต้นอยู่ตรงหน้า

และภาพแต่หนหลังก็เหมือนจะค่อยเลือนหายไปกับความทรงจำร้างลับ

“บางทีสิ่งที่เราไขว่คว้าก็อยู่แค่ปลายจมูกนี่เอง”

อีกแล้วคำของใครไม่รู้แว่วอยู่ในสายลมขณะคลื่นน้อยๆ ทยอยคลี่ฟองกับผืนทราย เหมือนจะกระซิบย้ำ

“ความทรงจำกับความใฝ่ฝันเท่านั้นที่ความรักเหลือไว้ให้กับเรา”

ภาพชีวิตที่ชายหาดยามจะย่ำสนธยาเหมือนภาพปริศนาธรรมชวนให้ไขความถึงแต่ละช่วงวัยชีวิต

เด็ก หนุ่มสาว กลางคน สูงวัย

โลกของเด็กคือโลกของความสนุก สนุกลูกเดียวจริงๆ ดังโลกของเจ้าตัวอ้วนกลมที่เอาแต่จะเดินเล่นวิ่งเล่นไล่ตามจับกันแทบไม่ทันอยู่นั่น

โลกของคนหนุ่มสาวคือโลกของความใฝ่ฝัน ทั้งงดงาม สวยใสและฮึกเหิม

และอย่างว่า “ใฝ่ฝันต้องไม่เพ้อฝัน”

ความใฝ่ฝันของหนุ่ม-สาวก้าวหน้านั้นมักรุ่มร้อน รุนแรง ดังวาทะว่า

“คนหนุ่ม-สาวถ้าไม่ขบถก็ไร้ใจ สูงวัยยังขบถ อยู่ก็ไร้สมอง”

ขบถในที่นี้มุ่งเน้นไปที่ “ท่าที” ความเร่าร้อนที่มุ่งต่อผลโดยไม่สำรวจเหตุ

โลกของคนวัยกลางคือโลกของความหวัง ดังแม่ค้าแม่ขายที่เฝ้าเสนอขายของให้ได้เป็นสำคัญ นั่นแหละคือความมุ่งหวังให้ได้ดังหวังในแต่ละวันนั้น รวมถึงคนวัยทำงานทุกคนที่ล้วนแต่หวังไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งในชีวิต

โลกของคนสูงวัย คือความสงบในบั้นปลายใกล้สนธยา

ไม่ว่าจะวัยไหนล้วนมีแต่ “ความสุข” เป็นสิ่งประสงค์ เด็กสนุกก็เพื่อความสุข หนุ่ม-สาวใฝ่ฝันก็เพื่อจะพบกับความสุข กลางคนก็มุ่งหวังเพื่อความสุข สูงวัยต้องการความสงบก็คือความสุขในบั้นปลาย

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าความสนุก ความฝัน ความหวัง และความสงบ ล้วนมี “ความสุข” เป็นเป้าหมายด้วยกันทั้งสิ้น

ท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าววาทะแห่งสัจธรรมไว้ว่า

“สิ่งที่หลอกลวงมนุษย์ที่สุด ก็คือสิ่งที่มนุษย์เรียกมันว่า ความสุขนี่เอง”

โลกชีวิต

โลกของเด็กคือวัย ใฝ่สนุก

มีความสุขซุกซน ตามประสา

เล่นล้มลุกคลุกคลาน วันเวลา

แสวงหาความสุขได้ทุกทาง

โลกของคนหนุ่มสาวเฝ้ามุ่งมั่น

คือโลกความใฝ่ฝันจะสรรค์สร้าง

โลกของคนเข้าไคลสู่วัยกลาง

คือใฝ่หวังเฝ้าวาง ทางชีวิต

โลกของคนสูงวัย ใฝ่สงบ

ได้ทวนทบความหลังที่ฝังจิต

ขอได้พบสงบแท้ แม้น้อยนิด

ขอมีสิทธิ์แค่นั้น ในบั้นปลาย

แต่ละช่วงวันวัย ในมนุษย์

ล้วนมีสุข ที่สุดเป็นจุดหมาย

ต่างวัยต่างวิถี ต่างคลี่คลาย

แสวงหา แสวงหาย ไม่วายทุกข์

สิ่งหลอกลวงมนุษย์ ที่สุดนั้น

คือที่เราเรียกมัน ว่าความสุข

มันเอาเถิดเจ้าล่อ มันคลอคลุก

มันล้อมรุกราวี ทั้งชีวิต!

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์