ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 พฤษภาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศอินโดจีน |
เผยแพร่ |
ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ต้นปีนี้ สหภาพยุโรป (อียู) เริ่มต้นกระบวนการที่ใช้เวลานาน 18 เดือน ในการตรวจสอบ สืบค้นข้อเท็จจริงทั้งหลาย เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจว่า จะยังคงให้สิทธิพิเศษในการเข้าถึงตลาดอียู สำหรับสินค้าออกทุกอย่างยกเว้นอาวุธ (อีบีเอ) ต่อกัมพูชาต่อไปอีกหรือไม่
กระบวนการที่ว่านี้ มีขึ้นหลังจากอียูมองว่า กัมพูชาในเวลานี้ “ประชาธิปไตยเสื่อมทรามลง, ไม่เคารพต่อสิทธิมนุษยชนและหลักนิติรัฐ” ใดๆ อันเป็นเงื่อนไขสำคัญในการให้สิทธิพิเศษดังกล่าว
ถึงตอนนี้ บรรดาภาคประชาสังคมในกัมพูชา นักวิเคราะห์ และผู้สันทัดกรณี รวมถึงภาคเอกชน ส่วนใหญ่ลงความเห็นตรงกันว่า โอกาสที่อียูจะระงับสิทธิพิเศษอีบีเอนั้นมีมากจนน่าวิตก
เพราะผลกระทบมหาศาลมาก
อีบีเอเป็นสิทธิพิเศษที่ทางอียูมอบให้กับกลุ่มประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (Least Developed Countries) โดยมอบให้กัมพูชามาตั้งแต่ปี 2001
กัมพูชาสามารถส่งออกทุกอย่าง ยกเว้นอาวุธ ไปยังอียูได้โดยไม่ต้องเสียภาษี แถมยังไม่มีการจำกัดโควต้าอีกต่างหาก
สิ่งที่ต้องทำเพื่อแลกกับอีบีเอก็คือ ต้องดำเนินการตามพันธะที่มีต่อหลักการของสหประชาชาติ และอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศทั้งหลายเท่านั้น
ปัญหาของกัมพูชาเริ่มต้นในช่วงการเลือกตั้งครั้งหลังสุดที่ผ่านมา เมื่อมีการยุบพรรคฝ่ายค้าน เล่นงานสื่อมวลชนอิสระทุกแขนง รวมไปถึงบรรดาองค์การเพื่อการพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) ทั้งหลายอย่างที่รับรู้กันนั่นเอง
คำถามสำคัญในเวลานี้จึงอยู่ที่ว่า จริงๆ แล้ว อีบีเอส่งผลกระทบต่อกัมพูชามากน้อยขนาดไหนกัน
ตัวเลขการส่งออกจากกัมพูชาไปยังอียูของปีหลังสุดคือเมื่อปี 2018 นั้นมีมูลค่าอยู่ที่ 4,900 ล้านยูโร คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงกว่า 1 ใน 3 ของการส่งออกทั้งหมดของประเทศ โดยที่ 99 เปอร์เซ็นต์อยู่ในข่ายได้สิทธิพิเศษที่ว่านี้ทั้งหมด
ไล่ดูเป็นรายสินค้า จะพบว่าสิ่งทอกับรองเท้า, อาหาร, ผัก, ข้าว และจักรยาน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 97 เปอร์เซ็นต์ของการส่งออกของกัมพูชาไปยังอียู
เมื่อหวนกลับมาดูจะเห็นได้ว่า เฉพาะสิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ถุงเท้า รองเท้า เพียงอย่างเดียว ก่อให้เกิดการจ้างงานในกัมพูชามากถึงกว่า 700,000 คน สร้างผลประโยชน์ทางอ้อมต่อเนื่องอีกหลายล้านคน
มีคนนำตัวเลขจีดีพีของกัมพูชาเมื่อปี 2001 กับปี 2017 มาเปรียบเทียบกัน ได้ภาพที่แสดงให้เห็นว่าจีดีพีของกัมพูชาในช่วงเวลาดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึงกว่าเท่าตัว ตัวเลขแสดงสัดส่วนคนยากจนในประเทศลดลงจาก 50.2 เปอร์เซ็นต์ในปี 2003 เหลือเพียง 13.5 เปอร์เซ็นต์ในปี 2014
แต่ถ้าเป็นผลกระทบโดยตรงในกรณีที่อีบีเอถูกระงับหรือยกเลิกไป คงบอกได้ยากไม่น้อย แม้แต่รายงานของธนาคารโลกล่าสุดยังบอกได้เพียงเป็นนัยๆ ว่า “จะส่งผลให้การส่งออกชะลอตัว”
ถ้าอียูเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 12 เปอร์เซ็นต์สำหรับภาคสิ่งทอ และ 8-17 เปอร์เซ็นต์ในภาครองเท้าและอุปกรณ์ ต้นทุนเศรษฐกิจของกัมพูชาจะเพิ่มขึ้นราวๆ 676 ล้านดอลลาร์
รายงานของเวิลด์แบงก์ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ด้วยว่า ถึงแม้จำนวนคนยากจนจะลดลง แต่คนกัมพูชาอีกอย่างน้อย 4.5 ล้านคนหรือราว 28 เปอร์เซ็นต์ของคนทั้งประเทศยังคงอยู่ในภาวะ “ใกล้จน” ซึ่งหมายถึงคนที่อ่อนไหวพร้อมที่จะตกกลับสู่สถานะ “ยากจน” ถ้าหากเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจหรือภาวะ “ช็อก” จากภายนอก
ที่น่าสนใจก็คือ รัฐบาลกัมพูชาไม่เพียงไม่ยี่หระกับการตรวจสอบของอียูเท่านั้น ยังประณามด้วยว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่ “ไม่เป็นธรรมสูงสุด”
และไม่มีวันที่จะนำเอา “อธิปไตย” ของชาติไปแลกกับ “ความช่วยเหลือจากต่างประเทศ” แน่นอน