อนุสรณ์ ติปยานนท์ : หมอกจางบนแผ่นฟิล์ม

เมืองในหมอก (4)

มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งฉายอยู่ในเมือง

คำกล่าวเช่นนี้หมายความว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่มีผู้คนสนใจอย่างยิ่ง

ไม่มีใครไปชมภาพยนตร์อีกแล้ว ณ บัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ที่ทำเงินมหาศาลจากต่างประเทศ ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จจนเป็นตำนาน ภาพยนตร์ที่เพียงแค่ชื่อของผู้กำกับฯ ก็ทำให้ผู้ชื่นชอบภาพยนตร์เกิดอาการตัวสั่นครั่นไป

การต้องทนอยู่ในโลกภายนอกกับบุคคลอื่นท่ามกลางอากาศที่เลวร้ายลดจำนวนผู้ชมไปอย่างต่อเนื่อง

และไม่ใช่เพียงโรงภาพยนตร์ แม้แต่สวนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้าก็ลดจำนวนผู้ใช้งานและผู้บริโภคลงไปด้วย

ชีวิตนอกบ้าน ชีวิตนอกที่อยู่อาศัย ชีวิตนอกสถานที่ทำงานกลายเป็นชีวิตที่ไม่พึงปรารถนา

ชีวิตทั้งหมดที่ปราศจากความมั่นใจจากอากาศที่บริสุทธิ์ล้วนเป็นชีวิตที่ไม่พึงปรารถนา

แต่มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งยังถูกฉายอยู่ในเมือง

แรกเริ่มมันถูกฉายในโรงภาพยนตร์อิสระขนาดเล็ก ภาพยนตร์เก่าแก่ ภาพยนตร์ที่พากย์เสียงในฟิล์มและมีเม็ดฝนตกหล่นประปรายบนจอ

ภาพยนตร์ที่ผู้เป็นดาราแทบจะถูกหลงลืมชื่อไปเสียแล้ว

กำหนดฉายของภาพยนตร์เรื่องนี้กินเวลาหนึ่งอาทิตย์

แต่แล้วในใจกลางสัปดาห์นั้นเองเมฆหมอกสีเทาก็เคลื่อนเข้ามาปกคลุมเมือง

อาจเป็นความพ้องเคียงที่ไม่มีใครคาดเดาได้ แต่กระนั้นภาพยนตร์เรื่อง “เมืองในหมอก” ได้กลายเป็นภาพยนตร์ที่แพร่หลายดังการระบาดของหมอกควัน

ผู้คนพากันไปชมมัน จนในที่สุดมันถูกทำสำเนาจากต้นฉบับเก่าคร่ำคร่า จากโรงภาพยนตร์หนึ่งไปยังอีกโรงภาพยนตร์หนึ่ง

จากโรงภาพยนตร์ทั่วไปสู่โรงภาพยนตร์ในห้างสรรพสินค้า จนไปถึงโรงภาพยนตร์ระดับที่อ้างว่าให้ภาพคมชัดที่สุดและต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าเพื่อการณ์นั้น

ผู้คนในทุกระดับล้วนแห่แหนไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้

พวกเขาชมมันทุกครั้งที่มีเวลาว่าง

พวกเขาชมมันทุกครั้งที่ปรารถนา

นอกจากร้านสะดวกซื้อ (ที่เปิด 24 ชั่วโมงแต่มีผู้คนเลือกเข้าเพียงครั้งเดียวในหนึ่งวัน)

โรงภาพยนตร์ที่ฉายภาพยนตร์เรื่อง “เมืองในหมอก” เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เปิดตลอดเวลา 24 ชั่วโมง

คุณอาจตื่นขึ้นในยามเช้า สาย บ่าย เที่ยง ค่ำ หรือดึกดื่น ครั้นแล้วคุณก็โหยหาความลี้ลับจากหมอก ครั้นแล้วคุณก็ปรารถนาจะเห็นความเจ็บปวดของตัวละครจากผลของหมอก

ครั้นแล้วคุณก็อยากลิ้มรสโศกนาฏกรรมจากหมอก

คุณเปลี่ยนชุด เตรียมอาหารว่าง ออกจากบ้านและตรงไปที่โรงภาพยนตร์

คุณออกจากบ้านตรงไปที่โรงภาพยนตร์เพื่อชมภาพยนตร์เรื่อง “เมืองในหมอก”

 

นายหมอกสีเทาเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ชื่นชอบภาพยนตร์เรื่อง “เมืองในหมอก” ทุกคืน ทุกเวลาที่เขารู้สึกเหมือนดังว่าไม่มีสิ่งใดทำ

เขาจะตรงไปที่โรงภาพยนตร์เพื่อชมภาพยนตร์เรื่อง “เมืองในหมอก”

เขาอดทนกับภาพอันพร่ามัว (แน่นอน เขาไม่มีเงินมากพอที่จะไปยังโรงภาพยนตร์ที่ให้ภาพอันคมชัดเยี่ยงมหาเศรษฐีคนอื่นๆ)

เขาอดทนกับเสียงอันบุบบี้ เพราะสิ่งที่เขาหลงใหลไม่ใช่ทั้งภาพและเสียงหากแต่เป็นเรื่องราวของมัน

เรื่องราวของเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกควันตลอดปี

ไม่มีสิ่งใดที่กระจ่างแจ้งให้พบเห็นในฉากเมือง

ตลอดเวลาคุณจะพบเห็นได้แต่ความเงียบเหงาซึมเซา

ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง เปิดกิจการโรงแรมเล็กๆ ในเมือง

แม่วัยชราผู้สูญเสียลูกชายไปกับการหลบหนีไปหาชีวิตที่ดีกว่าในเมืองหลวง (หลังจากที่สามีของนางผู้จากไปก่นด่าประณามเขาจนเขาไม่อาจจะบากหน้าอยู่ได้)

ลูกสาวผู้มีสติไม่สมประกอบ และปรารถนาการจะมีชีวิตที่ดีขึ้น

ทั้งคู่อยากเดินทางไปยังเมืองหลวง

ผู้เป็นแม่อยากไปตามหาลูกชายที่สาบสูญ

ผู้เป็นลูกอยากได้ใช้ชีวิตที่ศิวิไลซ์

ทั้งหมดนี้ล้วนจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อพวกเขามีเงินมากพอ

แต่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ที่ไม่มีใครอยากมาเยือน โรงแรมเล็กๆ ที่ไม่มีใครอยากพักย่อมไม่อาจทำเงินได้

หนทางเดียวที่พวกเขาจะมีเงินได้อย่างง่ายดายและสะดวกคือฆ่าแขกที่มาพักและปล้นเอาทุกอย่างจากพวกเขามา

 

ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้นที่เมืองในหมอก บทสนทนาที่ไร้แก่นสาร ชีวิตที่ไม่มีจุดหมาย วันและคืนที่หม่นหมอง

ซากศพซากแล้วซากเล่าที่ลอยตามลำน้ำให้ผู้คนในเมืองได้สะอิดสะเอียนและเบือนหน้าหนี

กระนั้นก็ไม่มีใครใส่ใจสืบสาวเอาความ

คนแปลกหน้าคือคนแปลกหน้า ความตายคือความตาย และความตายของคนแปลกหน้าคือเรื่องไร้สาระที่สุดที่ใครสักคนในเมืองจะใส่ใจ

ฆาตกรรมภายในเมืองในหมอกดำเนินไปเช่นนั้น

ความหวังของแม่และลูกที่จะได้เดินทางไปเมืองหลวงใกล้ความจริงขึ้น

เงินทองที่สะสมมาน่าจะใกล้เพียงพอสำหรับการเดินทางแล้ว

และในที่สุดแขกผู้ไม่คาดคิดก็เดินทางมาเยือนโรงแรม

 

นักท่องเที่ยวชายจากเมืองกรุง ผู้แต่งกายด้วยชุดอันหรูหรา ปรากฏตัวขึ้นที่โรงแรม

ผู้เป็นแม่และลูกพากันกระหยิ่มดีใจที่จะได้เหยื่อรายใหม่ที่จะทำเงินให้พวกเขา

แผนการที่จะสังหารชายพรุ่งนี้ถูกกำหนดขึ้น และมันถูกดำเนินไปเช่นนั้นแม้จะประสบกับปัญหาก็ตามก่อนที่ทุกอย่างจะถูกเฉลยในตอนท้ายว่าชายผู้นั้นแท้ที่จริงแล้วคือลูกชายของผู้เป็นแม่และพี่ชายของผู้เป็นน้องสาวที่เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านอย่างเงียบๆ เพื่อสร้างความประหลาดใจให้ครอบครัว

ทว่าสิ่งที่เขาได้รับกลับเกินจากความคาดหมายของเขามากมายเหลือเกิน

นายหมอกสีเทาเช็ดน้ำตาของเขาเมื่อถึงตอนจบของภาพยนตร์

เขาชมภาพยนตร์เรื่องนี้มานับสิบๆ ครั้ง ในตอนแรกเขาตื่นเต้นกับโครงเรื่องของมัน

หลังจากนั้นเขาดื่มด่ำกับบรรยากาศภายในเรื่อง หลังจากนั้นเขาติดตามไปที่การแสดงของแต่ละตัวละคร

เขาสมมุติตนเองเป็นพ่อผู้โหดร้าย

เขาสมมุติตนเองเป็นแม่ผู้ไม่มีทางออก

เขาสมมุติตนเองเป็นลูกสาวผู้สิ้นหวัง

และเขาก็สมมุติตนเองเป็นลูกชายผู้มากด้วยความสำเร็จ

เขาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นตัวละครเหล่านั้นไปเรื่อยๆ รอบแล้วรอบเล่า

เขาจดจำรายละเอียดทุกอย่างในภาพยนตร์มากขึ้นทุกที ภาพยนตร์ที่ถูกสร้างขึ้นกว่าสี่สิบปีก่อน

ภาพยนตร์ที่มีผู้กำกับฯ นาม เพิ่มพล เชยอรุณ

ภาพยนตร์ที่มีดารานำชื่อ สรพงศ์ ชาตรี สุพรรณ บูรณะพิมพ์ ปาริชาติ บริสุทธิ์ เบญจวรรณ บุญญากาศ

ภาพยนตร์ที่ถูกดัดแปลงจากบทประพันธ์ละครเวทีชื่อ “Le Melentendu” หรือ “ความเข้าใจผิด” ของ ALBERT CAMUS (สารภาพว่านอกจากภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว เขาไม่เคยสนใจอีกเลยว่าผู้เขียนบทละครเรื่องนี้คือใคร)

เขาจดจำอะไรได้มากมายเหลือเกินเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้

ผลกระทบต่อหมอกอันยังทำให้เกิดโศกนาฏกรรมกระตุ้นความรู้สึกของเขาว่าเขาจำต้องทำงานในโรงงานผลิตเครื่องฟอกอากาศและหน้ากากป้องกันมลพิษให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีก

เขาไม่อาจปล่อยให้ผู้คนในเมืองนี้อยู่ในสภาวะสิ้นหวังเยี่ยงตัวละครในภาพยนตร์ได้

คนอื่นอาจมีแรงบันดาลใจทำงานในโรงงานที่หดหู่ โศกเศร้าแตกต่างไป

บางคนอาจคาดหวังเงินทอง บางคนอาจคาดหวังผลประโยชน์มากมายจากทางโรงงาน

แต่สำหรับเขาแล้ว สำหรับเขา นายหมอกสีเทา สิ่งเดียวที่เขาต้องการจากการทำงานในโรงงานแห่งนี้คือการช่วยเหลือผู้คนจากสภาวะอันน่าหดหู่ที่ไม่มีใครล่วงรู้ว่าจะจบสิ้นหรือสิ้นสุดลงเมื่อใด

เขาอาจเป็นบุคคลผู้มีอุดมการณ์แบบที่ใครเรียกกัน แต่อุดมการณ์เขาก็เป็นเรื่องสามัญเหลือเกิน ช่วยใครสักคนจากสภาพที่เลวร้าย ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

 

นายหมอกสีเทาหยิบผ้าเช็ดหน้าและหน้ากากป้องกันมลพิษออกจากกระเป๋าเสื้อ

เขามองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ เป็นเวลารุ่งสางแล้ว แต่เขาไม่กังวล

เขามาถึงโรงภาพยนตร์เมื่อกลางดึกด้วยอาการนอนไม่หลับ และใช้เวลาจนรุ่งเช้าที่นี่

ที่จริงเขาควรกลับไปยังที่ที่พักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เขาคิดถึงการไม่กลับไป เสื้อผ้าของคนงานเหมือนกันทุกวัน ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น

ที่จริงเขาควรกลับไปยังที่พัก กินอาหารเช้ากับครอบครัว แต่ไม่มีใครรอคอยเขาอยู่ที่ที่พักของเขา

ดังนั้น อาหารเช้าจึงเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น

ที่จริงเขาควรกลับไปงีบหลับสักคู่ แต่การนอนก็ไม่ช่วยอะไร เขามีอิสระเต็มที่ที่จะกระทำอะไรก็ได้ในเช้านี้

แต่เขากลับไม่อยากกระทำอะไรเลย เขาสวมหน้ากากเข้ากับใบหน้าและคิดถึงการออกเดิน

เป็นดังการฆ่าตัวตายอย่างช้าๆ สำหรับการออกเดิน แต่เขาคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำในเช้านี้

เขาอยากทดสอบหน้ากากป้องกันมลพิษรุ่นใหม่ที่โรงงานของเขาได้ทำการผลิตมา

มันยังไม่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานวิจัยใดๆ แต่เขากลับเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของมัน

ช่างน่าประหลาดที่เกิดความรู้สึกเช่นนั้นได้

ความเชื่อมั่นในอะไรบางสิ่งที่ยังไม่มีการรับรอง สิ่งนี้ควรเรียกว่าศรัทธา ใช่หรือมิใช่

เขาสวมหน้ากากอย่างแน่นหนา เปิดประตูโรงภาพยนตร์ออกและเดินไปตามทางเดิน ฝ่าเข้าไปในดงหมอก มุ่งหน้าไปยังโรงงานของเขา

ตลอดเส้นทาง ความคิดของเขาจมจ่ออยู่กับเรื่องราวในภาพยนตร์

ถ้าหากเขาเป็นลูกชายคนนั้น เขาจะแก้ไขปัญหาและโศกนาฏกรรมที่ว่าด้วยการประกาศตนนับแต่นาทีแรกที่ไปถึงโรงแรม

การสร้างความประหลาดใจให้กับใครในท่ามกลางหมอกหนาทึบไม่ใช่เรื่องที่ควรกระทำ

ในท่ามกลางสิ่งแวดล้อมและโลกอันมีแต่ความมืดมัวสลัวซึมเซา เราควรทำตัวให้สว่างไสวที่สุด

เขาคิดเช่นนั้น

ในท่ามกลางความมืดดำเราควรมองหาแสงสว่างสีขาวนวล และแล้วในท่ามกลางหมอกควันนั่นเองเขาก็ได้พบกับแสงสว่างสีขาวนวล เขาแลเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังลุกขึ้นจากถนน

เธอปัดฝุ่นที่ติดตามมือและขาอันเกิดจากอุบัติเหตุก่อนจะหยิบหน้ากากป้องกันมลพิษอันหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋า

เป็นหน้ากากป้องกันมลพิษรุ่นล่าสุดที่เขามีส่วนในการผลิตมันขึ้นมา