วิเคราะห์เส้นทาง หลังปราชัยของ “ศรีสะเกษ” กับโอกาสทวงคืนเข็มขัดแชมป์โลกสมัย 3!

เข็มขัดแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวต 115 ปอนด์ สภามวยโลก (WBC) มีการเปลี่ยนมือเป็นที่เรียบร้อย

หลัง “แหลม-ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น” กำปั้นขวัญใจชาวไทย แพ้คะแนนต่อ “ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า” คู่ปรับเก่าชาวเม็กซิโก เจ้าของสมญานาม “เอล กัลโล่” ในการชกป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 27 เมษายน

นอกจากเสียเข็มขัดแชมป์โลกแล้ว ล่าสุดศรีสะเกษยังหลุดจากอันดับท็อปเท็นนักชกที่ดีที่สุดของโลกแบบปอนด์ต่อปอนด์อีกด้วย!

สำหรับความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นกับศรีสะเกษ บรรดาเกจิในวงการมวยต่างฟันธงว่าเป็นเพราะค่ายนครหลวงโปรโมชั่นวางแผนการชกผิดพลาด โดยให้เจ้าแหลมเปลี่ยนสไตล์การชก จากการตั้งการ์ดแบบมวยถนัดซ้ายมาเป็นมวยถนัดขวา

พูดตามประสาชาวบ้านคือ “ฝืนธรรมชาติ” และเข้าทางมวยคู่ต่อสู้ไปโดยปริยาย

กระทั่งภายหลัง “เสี่ยฮุย-สุรชาติ พิสิฐวุฒินันท์” โปรโมเตอร์และเจ้าของค่ายมวยนครหลวงโปรโมชั่น ต้องออกมายืดอกขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว พร้อมขอโทษแฟนมวยชาวไทย และสัญญาว่าจะทำให้ศรีสะเกษกลับมาเป็นแชมป์โลกอีกครั้ง

ขณะที่ “สร้อย มั่งมี” หรือ “สอดสร้อย สาวสังเวียน” ผู้สื่อข่าวกีฬาหนังสือพิมพ์ข่าวสด วิเคราะห์ว่าความพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นเพราะเทคนิคการชกที่ผิดพลาด แม้ว่าในช่วง 4 ยกสุดท้าย ทีมงานค่ายนครหลวงโปรโมชั่นจะสั่งให้ศรีสะเกษเปลี่ยนสไตล์การชก แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

“ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่าการรู้เขารู้เราเป็นเรื่องดี แต่ทางค่ายนครหลวงโปรโมชั่นอาจจะมองข้ามช็อตเกินไปคือ เขาน่าจะรู้ว่าสไตล์มวยแบบไหนที่เหมาะกับศรีสะเกษมากที่สุด มวยถนัดซ้ายหรือมวยถนัดขวา

“แต่ว่ามวยต่อยกันไปแล้ว พูดกันตามตรง แฟนมวยส่วนใหญ่หรือแม้กระทั่งตัวผมเองก็มองว่าศรีสะเกษแพ้จริงๆ ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะทีมงานค่ายนครหลวงโปรโมชั่นปรับเกมการชกได้ช้าเกินไปต่างหาก” สร้อยระบุ

กูรูมวยสากลผู้คว่ำหวอดในวงการกำปั้นโลกมานานกว่า 27 ปี สะท้อนมุมมองว่า แม้ศรีสะเกษจะมีอายุมากถึง 32 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังรักษาสภาพร่างกายได้ดี และที่สำคัญ ระบบการชกที่ค่ายนครหลวงโปรโมชั่นวางแผนไว้ส่งผลดีกับศรีสะเกษ เพราะช่วยเสริมให้เขามีพลังกำปั้นที่หนักหน่วงรุนแรง

“ความรู้สึกของแฟนมวยทั่วไป บางคนอาจจะมองว่าศรีสะเกษมีอาการแผ่ว หรืออายุที่มากขึ้นส่งผลกระทบกับเขาหรือไม่ แต่ในความรู้สึกผม ไฟต์นี้พิสูจน์ให้เห็นว่าระบบการซ้อมที่หนัก ลงนวมไปมากถึง 327 ยก แล้วทางค่ายนครหลวงโปรโมชั่นให้ศรีสะเกษลงนวมเหมือนชกจริงแบบ 12 ยก มันก็ส่งผลดีกับศรีสะเกษ

“ส่วนเรื่องอายุที่มากขึ้น ไม่น่าเป็นอุปสรรคสำหรับศรีสะเกษ และเราคงได้เห็นแล้วว่าแม้ทั้งคู่จะชกกัน 12 ยก แต่ศรีสะเกษก็ยังแข็งแกร่งอยู่ เขาเดินบี้เดินบดเอสตราด้าได้ตลอด ในขณะที่เอสตราด้ากลับมีอาการแผ่วให้เห็น” ผู้สื่อข่าวที่เชี่ยวชาญด้านกีฬามวยสากลวิเคราะห์

มีกระแสข่าวว่า เอสตราด้าอาจตัดสินใจไปชกล้มแชมป์ข้ามสถาบันกับ “คาห์ลิด ยาไฟ” กำปั้นชาวอังกฤษ เจ้าของเข็มขัดแชมป์โลก สมาคมมวยโลก (WBA) หรือ “เจอร์วิน อันคาฮาส” นักชกชาวฟิลิปปินส์ เจ้าของตำแหน่งแชมป์โลก สหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) ในพิกัดเดียวกันก่อน

แม้หลังการชกกับศรีสะเกษ เอสตราด้าจะประกาศว่าพร้อมเปิดโอกาสให้นักชกไทยได้รีแมตช์ล้างตาอีกครั้งเป็นหนที่สาม

แต่ว่าการชกในครั้งต่อไป เขาจะมาในฐานะแชมป์ ไม่ใช่ผู้ท้าชิงอีกแล้ว ดังนั้น เรื่องค่าตัวหรือผลประโยชน์ต่างๆ เอสตราด้าย่อมมีอำนาจในการต่อรองที่เหนือกว่า

ขณะที่ “แบงค์-เธียรชัย พิสิฐวุฒินันท์” ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ ค่ายนครหลวงโปรโมชั่น ยืนยันว่า “เอ็ดดี้ เฮิร์น” โปรโมเตอร์ใหญ่ของแมตช์รูมบ๊อกซิ่ง มีความต้องการให้ศรีสะเกษได้แก้มือกับเอสตราด้า เพราะทั้งคู่ต่อยกันอย่างดุเดือด สนุกตื่นเต้น และเชื่อว่าน่าจะเรียกคนดูมากกว่าการล้มแชมป์เสียอีก

สอดคล้องกับมุมมองของสร้อย ที่แสดงความคิดเห็นว่า ปัจจุบันมวยโลกในรุ่น 115 ปอนด์ กลายเป็นรุ่นพิมพ์นิยมแทนมวยรุ่นใหญ่ อย่างเฮฟวี่เวต มิดเดิลเวต เวลเตอร์เวต ไปแล้ว เพราะในรุ่น 115 ปอนด์มีนักชกระดับซูเปอร์สตาร์หลายคน และเวลาประกบคู่มวยกัน สามารถเรียกความสนใจจากแฟนมวยได้เป็นอย่างดี

“ตอนนี้ถือเป็นโอกาสดีที่โปรโมเตอร์มวยโลกโฟกัสมาที่รุ่น 115 ปอนด์ เพราะในรุ่นนี้มีนักชกตัวท็อปหลายคน ไม่ได้มีแค่ศรีสะเกษ หรือเอสตราด้าเท่านั้น

“แต่ยังมีคาห์ลิด ยาไฟ, เจอร์วิน อันคาฮาส, คาร์ลอส คูเอดราส รวมถึงโรมัน กอนซาเลซ ที่ยังคงเวียนว่ายต่อยในพิกัดนี้อยู่”

นอกจากนี้ สร้อยเชื่อว่า หากไฟต์ล้างตาภาค 3 ระหว่างศรีสะเกษกับเอสตราด้าเกิดขึ้นภายใน 6 เดือนข้างหน้า ยอดกำปั้นขวัญใจชาวไทยก็มีโอกาสทวงเข็มขัดแชมป์โลกกลับคืนมาได้

“เท่าที่ทราบ ค่ายนครหลวงโปรโมชั่นจะให้ศรีสะเกษได้พักประมาณ 1 เดือน หลังจากนั้นค่อยดูสถานการณ์และท่าทีจากแมตช์รูมบ๊อกซิ่งอีกครั้ง ว่าจะเปิดโอกาสให้ศรีสะเกษได้ล้างตากับเอสตราด้าเลยหรือไม่ แต่ผมคิดว่าทีมงานค่ายนครหลวงโปรโมชั่นต้องการที่จะให้รีแมตช์กันโดยเร็ว

“ก่อนหน้านี้ ศรีสะเกษเคยเสียแชมป์โลกครั้งแรกไป เขาต้องใช้เวลาถึง 2 ปี กว่าจะได้กลับมาชิงแชมป์โลกอีกครั้งหนึ่ง

“ซึ่งระยะเวลา 2 ปี ระหว่างนักมวยที่เป็นแชมเปี้ยน กับนักมวยธรรมดาที่ไม่มีเข็มขัด ไม่มีตำแหน่งแชมป์โลก การเก็บตัว การฟิตซ้อม การปรับสภาพร่างกายต่างๆ นั้น มันจะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

“แต่ถ้าหากการชกภาค 3 เกิดขึ้นภายใน 6 เดือน ตามที่ทางค่ายนครหลวงโปรโมชั่นตั้งใจไว้ ผมว่าโอกาสที่ศรีสะเกษจะทวงเข็มขัดแชมป์โลกกลับคืนมาก็มีความเป็นไปได้สูง

“ถ้าหากเขาทำได้สำเร็จ ศรีสะเกษก็จะสร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมเปี้ยนโลกสมัยที่ 3 และเป็นแชมป์โลก 3 สมัย คนที่ 3 ของไทย (ถัดจาก “โผน กิ่งเพชร” และ “ชาติชาย เชี่ยวน้อย”)”

สร้อย มั่งมี กล่าวทิ้งท้าย