ในประเทศ / ปิดสวิตช์ แต่ยัง ‘สว่าง’

ในประเทศ

 

ปิดสวิตช์

แต่ยัง ‘สว่าง’

 

มีเสียง “ลอยลม” ในแวดวงการเมืองมาโดยตลอด

ว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562

แต่เขาจะไม่มีโอกาสเข้าไปในสภาได้แม้แต่ครั้งเดียว

ใน “ฐานะ” นักการเมืองที่มีแนวคิด “อันตราย”

จำเป็นจะต้องถูกถอนรากถอนโคนเสียแต่เริ่มต้น

จะต้องไม่เกิด “ปรากฏการณ์ทักษิณ 2” ที่ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตายอย่างเด็ดขาด

ประกอบกับนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่มีแนวคิดเด็ดขาดมั่นคงที่จะไม่ให้มีการสืบทอดอำนาจ และสกัดไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก

ถึงขนาดกล้าประกาศในฐานะพรรคอันดับ 3 ว่า พร้อมจะรวบรวมเสียงพรรคการเมืองต่างๆ

เพื่อจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคพลังประชารัฐ และตั้งเป้าปิดสวิตช์ ส.ว. ไม่ให้โหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี

ซึ่งแม้จะมีโอกาสริบหรี่ แต่ก็จะไม่อยู่นิ่งเฉย ทั้งนี้เพื่อยืนยันว่าพร้อมจะทำทุกวิถีทางสกัดการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ได้

 

แนวคิดและลงมือปฏิบัติของพรรคการเมือง โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีแนวทางเขย่า “ฝ่ายอนุรักษนิยม” ที่โน้มเอียงสนับสนุนกองทัพ-ขุนศึกดังกล่าว

ทำให้เส้นทางของนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ มากด้วยแรงเสียดทาน

พร้อมกับเสียงลอยลมข้างต้น–นายธนาธรจะไม่มีโอกาสเข้าสภาแม้แต่ครั้งเดียว

และกลไกต่างๆ ก็กำลังดำเนินการอย่างขะมักเขม้น ด้วยการเอ็กซเรย์ “ทุกประเด็น” ที่นายธนาธรเปิดจุดอ่อนให้เห็น

ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนี้ก็คือ กรณีที่นายธนาธรถูกกล่าวหาว่าถือหุ้นสื่อมวลชน

ซึ่งแม้จะโล่งใจในตอนแรก ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถูกคาดหมายว่าจะไม่รับรองผลการเลือกตั้งของนายธนาธร

และอาจจะให้ใบส้ม ตัดสิทธินายธนาธรไม่ให้ย้อนกลับมาเป็น ส.ส.ได้อีก

แต่อาจเนื่องจากในกรณีเรื่องหุ้นสื่อมวลชน มิได้จำกัดที่นายธนาธรเพียงคนเดียว หากแต่มีว่าที่ ส.ส.ในพรรคหลักๆ เกือบทุกพรรคร่วม 60 คน ถูกร้องเรียนให้ตรวจสอบเช่นกัน

ดังนั้น ดูจะเป็นการเพ่งเล็งไปที่นายธนาธรเพียงคนเดียวมากเกินไป

ทำให้ กกต.เลือกปล่อยผี ด้วยการรับรอง ส.ส.เกือบ 100% ไว้ก่อน ยกเว้นที่ จ.เชียงใหม่ เขต 8 เพียงเขตเดียวที่ให้เลือกตั้งใหม่ และแจกใบส้มแก่ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ไม่ให้ลงเลือกตั้งอีก ฐานแจกเงินให้พระ

นายธนาธร “รอดตัว” อย่างเฉียดฉิว

 

แต่ดีใจอยู่ไม่กี่วัน

กกต.ก็ได้ออกเอกสาร แถลงข่าวว่า กกต.มีมติยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้พิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพของ ส.ส.สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 82 วรรคสี่

กรณีความปรากฏหรือมีเหตุอันสมควรสงสัยต่อ กกต.ว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด อันเป็นลักษณะต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.

ซึ่งอันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพ ส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3)

มติ กกต.ดังกล่าวเป็นมติเอกฉันท์โดยเห็นว่า จากพยานหลักฐาน บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด เป็นบริษัทที่ระบุวัตถุประสงค์ยื่นจดทะเบียนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ว่า ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชน อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากงบการเงินของบริษัท พบว่ามีรายได้จากการขายนิตยสาร ให้บริการโฆษณา ซึ่งถือเป็นการประกอบธุรกิจสื่อสารมวลชน และยังคงประกอบกิจการอยู่ ไม่มีการจดทะเบียนยกเลิกบริษัทหรือเสร็จการชำระบัญชี

ขณะที่สำเนาบัญชีผู้ถือหุ้น หรือ บอจ. 5 ที่ กกต.ได้รับจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ยังปรากฏชื่อนายธนาธรเป็นผู้ถือหุ้นตั้งแต่ปี 2558 จนถึงวันที่ 21 มีนาคม 2562

ยิ่งไปกว่านั้น สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งในเวลาต่อมาว่า

ในวันที่ 23 พฤษภาคมนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมพิจารณาคำร้องของ กกต. ที่ขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายธนาธร

โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมพิจารณาคำร้องและหลักฐานที่ กกต.แนบมาท้ายคำร้องว่าจะรับคำร้องไว้เพื่อวินิจฉัยหรือไม่

ทั้งนี้ สาเหตุที่นำมาซึ่งการส่งศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยนั้น มาจากนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นให้ กกต.พิจารณาว่านายธนาธรถือครองหุ้นสื่อในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด และมีการโอนหุ้นภายหลังวันที่สมัครเป็น ส.ส.

การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 23 พฤษภาคม จะพิจารณาว่าจะรับคำร้องของ กกต.ไว้วินิจฉัยหรือไม่

ถ้าศาลมีมติรับคำร้อง ก็จะส่งสำเนาคำร้องให้ผู้ถูกร้อง และนัดพิจารณาคดีครั้งแรกหลังจากนั้นประมาณต้นเดือนมิถุนายน

พิจารณาตามนี้ นายธนาธรยังมีโอกาสต่อสู้อย่างเต็มที่ในศาลรัฐธรรมนูญ

แต่ประเด็น “สำคัญ” อยู่ที่ รัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสอง

ที่กำหนดว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้รับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว

หากปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า ส.ส.ซึ่งถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ ส.ส.ซึ่งถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

และเมื่อศาลมีคำวินิจฉัยแล้ว ให้ศาลแจ้งคำวินิจฉัยนั้นไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร ในกรณีที่ศาลวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของ ส.ส.ผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง ให้ถือว่าผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่กระทบต่อกิจการที่ผู้นั้นได้กระทำไปก่อนพ้นจากตำแหน่ง

ความระทึกใจอยู่ตรงนี้ต่างหาก

 

เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญให้นายธนาธรหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

ก็เท่ากับว่านายธนาธรจะหมดโอกาสเข้าสู่สภา

ไม่ได้ร่วมพระราชพิธีเปิดรัฐสภาในวันที่ 24 พฤษภาคม อันเป็นเกียรติยศสูงส่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ไม่ได้ร่วมลงมติโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร

และอาจไม่ได้ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และหมดสิทธิที่จะเปิดตัวเองเข้าชิงนายกฯ

แม้พรรคอนาคตใหม่น่าจะสามารถดำเนินกิจกรรมในสภาไปได้

แต่การขาดหัวหน้าพรรคที่โดดเด่นอย่างนายธนาธร ย่อมทำให้เกมในสภาอ่อนยวบลงอย่างแน่นอน

และเลวร้ายไปกว่านั้น หากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาว่านายธนาธรถือหุ้นสื่อไว้จริง เส้นทางการเป็น ส.ส.ก็จะต้องยุติลง

ซึ่งนั่นย่อมจะส่งผลสะเทือนต่อการขับเคลื่อนทางการเมืองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

แม้นายธนาธรพยายามมองในแง่ดีว่า คดีหุ้นสื่อไม่มีอะไรสุ่มเสี่ยง เพราะ กกต.ยังไม่กล้าตัดสินใจเลย เรามั่นใจในเอกสารหลักฐานข้อเท็จจริงทั้งหมด ว่าไม่มีผลอะไรต่อคุณสมบัติการสมัครเป็น ส.ส. ดังนั้น เราไม่ได้คิดเรื่องนี้มาเป็นประเด็นเลย

“ผมมองว่านี่คือความพยายามเฮือกสุดท้ายของ คสช.ที่จะสกัดกั้นอนาคตใหม่ โดยคาดหวังว่าถ้าจัดการกับแกนนำพรรคได้แล้ว จะจัดการกับพรรคได้ เรามั่นใจในพยานหลักฐานเอกสารว่าไม่มีอะไรมาเอาผิดได้”

 

แม้นายธนาธรจะมั่นใจว่าจะเอาตัวรอดได้ ไม่ถูกพักการปฏิบัติ

ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องโชคดี สามารถกุมบังเหียนนำทัพลุยตั้งประธานสภา นายกฯ ได้อย่างมีสีสัน และรอการต่อสู้คดีในเดือนมิถุนายนต่อไป

แต่ผู้ที่เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมือง ส่วนใหญ่ประเมินแล้วเชื่อว่าโอกาสที่นายธนาธรจะถูกพักการปฏิบัติหน้าที่ มีสูงไม่น้อย

ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ย่อมส่งผลกระทบอย่างที่ระบุในข้างต้น

และยังเป็นการตอกย้ำว่า “เส้นทางการเมือง” เต็มไปด้วยหนาม เพราะหลังจากนี้ต้องรอลุ้นผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หากออกมาว่าถือหุ้นสื่ออยู่จริง

เส้นทางในสภาก็ต้องยุติลงโดยสิ้นเชิงและต้องไปรอลุ้นว่าจะมีใครตามเล่นงานคดีอาญา เพื่อตัดสิทธิทางการเมืองเพิ่มอีกหรือไม่

ยิ่งไปกว่านั้น ต้องติดตามว่าพรรคอนาคตใหม่จะเผชิญชะตากรรมตามหัวหน้าพรรคหรือไม่

เนื่องจากไม่ได้มีแต่เรื่องหุ้น ยังมีประเด็นตกค้างที่อาจถูกเล่นงานอีกไม่น้อย

 

และสดๆ ร้อนๆ จากกรณีที่นายธนาธรไปกล่าวเป็นประเด็นไว้ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม

ประเด็นที่ 1 ไปให้ข้อมูลเมื่อ 2-3 สัปดาห์หลังการเลือกตั้ง นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ แม่ของตน ได้รับการติดต่อจากสมาชิกระดับอาวุโสของพรรคใหญ่พรรคหนึ่ง ขอให้ตนมอบ ส.ส.จำนวน 20 คนจากพรรคอนาคตใหม่ให้พรรคดังกล่าว เพื่อแลกกับคดีความและเรื่องยุ่งๆ ทั้งหลายจะได้จบ

ประเด็นที่ 2 ไปกล่าวยอมรับว่าได้ให้พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงิน 110 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมของพรรค

ปรากฏว่า ทั้ง 2 ประเด็นร้อนผ่าว

โดยประเด็นแรก พรรคที่ถูกพาดพิงถึง กล่าวหาว่านายธนาธรใส่ร้ายและเตรียมดำเนินคดีเอาผิด

ส่วนประเด็นที่สอง นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ไปยื่นเรื่องขอให้ กกต.สอบกรณีที่นายธนาธรกล่าวยอมรับว่าได้ให้พรรคอนาคตใหม่ยืมเงินจำนวน 110 ล้านบาท และที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคเคยให้สัมภาษณ์ถึงการกู้ยืมเงินจำนวน 250 ล้านบาทของพรรคจากนายธนาธร การกู้ยืมดังกล่าวเป็นการทำสัญญาและคิดดอกเบี้ยชัดเจน

ที่อาจขัดกับ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 66  วรรคหนึ่งและวรรคสองระบุว่า บุคคลหรือนิติบุคคลใดจะบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้พรรคการเมืองโดยมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาทต่อปีมิได้ กรณีดังกล่าวจึงเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 124 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 5 ปี

นอกจากนี้ มาตรา 125 พรรคการเมืองใดที่รับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด มีมูลค่าเกินที่กำหนดไว้ มาตรา 66 วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคมีกำหนด 5 ปี และให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ส่วนที่เกินมูลค่าที่กำหนดไว้ตามมาตรา 66 ตกเป็นของกองทุนพัฒนาการเมือง

ถือเป็นวิบากกรรมที่อาจต้องเผชิญอีกในอนาคต

 

แน่นอน ย่อมถูกมองว่า นี่คือหลายๆ กลยุทธ์ที่จะผสมโรงเพื่อปิดสวิตช์พรรคอนาคตใหม่

ถือเป็นภาวะอันหนักหน่วง ที่นายธนาธรและมวลเหล่าอนาคตใหม่จะต้องพิสูจน์ตนเอง

ถึงความอดทน มุ่งมั่น ที่จะสร้างอนาคตใหม่ให้กับการเมืองไทย

โดยไม่ใช่เรื่องเฉพาะกิจ หรือจะยอมแพ้ง่ายๆ

จะเดินหน้าไปอย่างที่แกนนำประกาศก่อนหน้านี้

นั่นก็คือ พร้อมที่จะสู้ทุกประเด็น

หมดโอกาสสู้ในสภา

ก็พร้อมจะสู้นอกสภา

เพื่อให้อุดมการณ์ของคนรุ่นใหม่ปรากฏและเติบโตต่อไป

แม้จะถูกปิดสวิตช์ แต่ก็ยังมีแสงสว่างแห่งอุดมการณ์เพื่ออนาคตใหม่อยู่