ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 พฤษภาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | หลังลับแลมีอรุณรุ่ง |
ผู้เขียน | ธงทอง จันทรางศุ |
เผยแพร่ |
พวกเราชาวไทยคงท่องจำได้ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กเล็กแล้วว่าวันดังกล่าวเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
วันนี้เราจะมาย้อนหลังกันสักหน่อยครับว่าประเพณีการจัดงานวิสาขบูชาในบ้านเรามีมาตั้งแต่เมื่อใด อย่างไร
ในเบื้องต้นผมสันนิษฐานไว้ก่อนว่า หลังสมัยพุทธกาลแล้ว การนับถือว่าวันเพ็ญเดือนหกเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนิก เนื่องจากต้องตรงกันกับวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของสมเด็จพระบรมศาสดา เห็นจะเริ่มต้นขึ้นจากประเทศอินเดียก่อน
แล้วแพร่หลายต่อไปยังประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย
ทำนองเดียวกันกับที่คริสต์ศาสนิกชนมีการเฉลิมฉลองวันคริสต์สมภพหรือที่เรียกว่าวันคริสต์มาสในวันที่ 25 ธันวาคมทุกปี
แต่การเฉลิมฉลองวันสำคัญอย่างนี้บางยุคสมัยก็เฟื่องฟูและบางยุคสมัยก็ซบเซาลงไป ตามธรรมดาวิสัยของโลกที่ไม่มีอะไรคงทนถาวรอยู่ได้เสมอไป
และผมจะได้เดาต่อไปด้วยว่างานบำเพ็ญกุศลวิสาขบูชานี้น่าจะได้เคยมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้วแต่ร่วงโรยลงไปในภายหลัง
ความชัดเจนในการจัดงานวิสาขบูชาส่วนของหลวงเมื่อปรากฏชัดขึ้นอีกครั้งในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
มีรายละเอียดปรากฏอยู่ในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่สอง
พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าว่า ในพุทธศักราช 2360 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินนั้นทรงพระราชดำริด้วย สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี) ซึ่งประสูติมาตั้งแต่ครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ ปลายกรุงศรีอยุธยา ให้ทำวิสาขบูชากลางเดือนหกขึ้นเป็นครั้งแรกในกรุงรัตนโกสินทร์
มูลเหตุที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น ปรากฏความในหนังสือข้างต้นว่า วันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระราชปุจฉาถามคณะสงฆ์ซึ่งมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานว่า ทรงพระราชรำพึงถึงสรรพการกุศลซึ่งได้ทรงบำเพ็ญมาช้านานนั้น ยังหาเต็มพระราชศรัทธาไม่
มีพระทัยปรารถนาอยากให้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลให้มีผลพิเศษเพิ่มเติมขึ้นไปอีก
สมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อยจึงถวายพระพรว่า วันวิสาขะนักขัตฤกษ์เป็นพิธีบูชาใหญ่มีผลอานิสงส์มาก แต่พระราชพิธีวิสาขบูชานี้เสื่อมสูญขาดหายมาช้านานแล้ว ถ้าได้กระทำสักการบูชาพระรัตนตรัยในวันนั้นจะเป็นอนันตคุณวิเศษนักนับประมาณมิได้
จึงทรงพระราชศรัทธาให้ยกรื้อวิสาขบูชามหายัญพิธีอันขาดประเพณีมานั้นให้กลับคืนมาสำหรับแผ่นดินสืบไป
พิธีวิสาขบูชาอย่างที่ทำในรัชกาลที่สอง มีรายละเอียดปรากฏอย่างพิสดารอยู่ในพระราชนิพนธ์เรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าโปรดเกล้าฯ ให้ทำโคมปิดกระดาษ ชักเสาไม้ไผ่ยอดผูกฉัตรกระดาษพระราชทานไปปักจุดเป็นพุทธบูชาตามพระอารามหลวง
ชักชวนให้ราษฎรจุดโคมประทีปตามบ้านเรือนเป็นพุทธบูชา แผ่พระราชกุศลให้ร้อยดอกไม้มาแขวนเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
มีดอกไม้เพลิงของหลวงตั้งจุดเป็นพุทธบูชาที่หน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
นิมนต์พระสงฆ์ให้อุโบสถศีลและแสดงพระธรรมเทศนาแก่ราษฎรโดยมีเครื่องกัณฑ์เป็นของหลวงพระราชทาน
ป่าวร้องตักเตือนราษฎรให้ไปรักษาศีลฟังธรรมและห้ามการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เลี้ยงพระสงฆ์ในท้องพระโรง และการพระราชกุศลอื่นๆ เป็นอเนกปริยาย
การพระราชกุศลวิสาขบูชาส่วนของหลวงนี้ก็ยังถือเป็นประเพณีสำคัญของพระราชสำนักสืบมาจนถึงปัจจุบัน
และการ “แผ่พระราชกุศล” ซึ่งแปลเป็นภาษาชาวบ้านว่าทรงบอกบุญให้ข้าราชการและประชาชนนำโคมดอกไม้ไปถวายเป็นพุทธบูชาที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ก็ยังรักษาธรรมเนียมนี้อยู่นะครับ
สมัยหนึ่งเมื่อผมรับราชการอยู่ที่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้ชักชวนกันกับเพื่อนข้าราชการในหน่วยงานนั้น แต่งโคมประทีปด้วยดอกไม้สดงดงามเพื่อนำไปแขวนถวายที่วัดพระแก้ว เป็นที่ชื่นอกชื่นใจของผู้ที่ได้เข้าหุ้นส่วนกันทำกุศล
และทุกวันนี้ก็ยังสืบประเพณีนี้ต่อเนื่องกันมา พอใกล้วันวิสาขบูชาอย่างนี้ก็ต้องติดตาม บอกข่าวการบุญนี้แล้ว ไม่ยอมพลาดครับ
ทุกวันนี้น่าชื่นใจว่าวันวิสาขบูชาซึ่งเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา มิได้เป็นวันสำคัญที่มีการเฉลิมฉลองอยู่แต่ในประเทศไทยของเราเท่านั้น หากแต่ประเทศที่มีพุทธศาสนิกชนอีกมากมายหลายประเทศก็เลยร่วมกระทำสักการบูชาพระรัตนตรัยในวันเดียวกันนี้ด้วย เรียกกันทั่วไปว่า Vesak Day และองค์การสหประชาชาติก็เลยยกย่องว่าวันนี้เป็นวันสำคัญที่เป็นสากลของโลกด้วย
กล่าวเฉพาะในประเทศไทยของเรา การบำเพ็ญกุศลวันวิสาขบูชามีขึ้นตามวัดวาอารามทั่วประเทศ ครั้นได้เวลาเย็นค่ำ ก็มีการเวียนเทียนที่สังเกตเห็นได้ว่าผู้เข้าร่วมพิธีมีทุกวัยทุกสถานะจริงๆ
พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยที่ทรงปรารภปรารถนาให้งานวิสาขบูชานี้ยั่งยืนคู่กับเมืองไทยตลอดไป เห็นจะไม่เสื่อมสูญเป็นแน่
ส่วนตัวผมเองปีนี้แปลกหน่อยครับ เพราะวางแผนจะไปเวียนเทียนที่เกาะสีชัง ที่เกาะแห่งนั้นภายในบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งแห่งพระราชวังที่ชื่อว่าพระจุฑาธุชราชฐาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระอารามไว้บนยอดเขายอดหนึ่ง พระราชทานนามว่า วัดอัษฎางคนิมิตร
ที่นั่นมีเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ถึงแม้เวลานี้วัดแห่งนั้นเป็นวัดร้างมิได้มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่แล้วก็ตาม แต่เมื่อถึงวันวิสาขบูชาของทุกปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นผู้ดูแลสถานที่แห่งนั้น ก็ได้จัดให้มีพิธีวิสาขบูชาขึ้นตามแบบธรรมเนียมในสมัยรัชกาลที่ห้า
มีการแต่งประทีปโคมไฟ นิมนต์พระสงฆ์มาแสดงพระธรรมเทศนา เบื้องหน้าต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ทรงปลูก และเวียนเทียนรอบพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา อนุโลมตามแบบอย่างที่ปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เคยเสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชาที่วัดแห่งนี้เมื่อร้อยกว่าปีก่อน
อย่าลืมนะครับ สมเด็จพระสังฆราช (มี) ท่านเคยถวายพระพรไว้ว่า
“ถ้าได้กระทำสักการบูชารัตนตรัยในวันนั้นแล้ว ก็จะมีผลอานิสงส์มากยิ่งนัก อาจสามารถปิดประตูจตุราบายภูมิทั้ง 4 แลเป็นที่จะดำเนินไปในสุคติภพเบื้องหน้า อาจให้เจริญทฤฆายุสิริสวัสดิพิพัฒนมงคล รำงับทุกข์โทษอุปัทวอันตรายภัยต่างๆ ในบริเฉทกาลปัจจุบัน…”
เมื่อเห็นคุณวิเศษดังนี้แล้ว ขอพวกเราจงมากระทำวิสาขบูชาให้พร้อมกันเถิด