สนทนาอดีตประธานวุฒิสภา ส.ว.มีไว้ทำไม?

“พวกคุณสามารถก้มหน้า ยกมือเลือกนายกฯ ได้ แต่คุณไม่สามารถเงยหน้ามองมาที่ประชาชนได้”

“ส.ว.ยุคนี้เป็นยุคที่เลวร้ายที่สุด จากเดิมหน้าที่ของสภาสูงในการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ที่จะช่วยกลั่นกรองหรือตรวจสอบกฎหมาย แต่ในตอนนี้ กลายเป็นว่า หน้าที่ของเขาลงมาเล่นเหมือนกับ ส.ส. เลยมีอำนาจในการเลือกนายกฯ และล่าสุดจะขอต่อรองว่าจะให้มีหน้าที่ในการพิจารณางบประมาณด้วย ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีพื้นฐานมาจากประชาชนเลย แต่ว่ามีคนบางคนพยายามเสนอให้เพิ่มบทบาทนี้ไปอีก ผมเชื่อว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วมันไปไม่ได้หรอก อะไรที่มันฝืนความเป็นจริง อะไรที่ขัดกับความรู้สึก คุณจะมองหน้าประชาชนได้อย่างไร แต่ 250 คนนี้ใช้คนเพียงคนเดียวเลือก แทนประชาชนหลายสิบล้าน” คือความเห็นของ “นิคม ไวยรัชพานิช” อดีตประธานวุฒิสภา ที่ฉายภาพถึง ส.ว.ชุดต่อไปที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นอีก “พรรคการเมืองหนึ่ง” ในกระดานอำนาจ

นิคมมองว่า จะเป็นอันตรายอย่างมาก หากยังปล่อยระบบแบบนี้ไว้ เพราะจะกลายเป็นบรรทัดฐานของความไม่ถูกต้อง เป็นเรื่องของพวกพ้อง การตีความ-การพิจารณาโดยอาศัยกระบวนการ เพื่อให้ได้ประโยชน์และได้เปรียบ เอื้อต่อกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด เพื่ออ้างความชอบธรรม

ฉะนั้น สภานี้จะไม่เป็นประชาธิปไตยสากล แบบที่นานาอารยประเทศเขามีกัน ในการได้มาซึ่งอำนาจและการตรวจสอบถ่วงดุล แบบมีครรลองทำถูกต้องตามหลักการ ประชาธิปไตยในหลายประเทศใช้เวลากันเป็น 100 ปีในการพัฒนา

แต่บ้านเรามีชุดความคิดของคนบางคนที่มองว่าบ้านเมืองวุ่นวายทุกวันนี้เพราะมีนักการเมืองที่ไม่ดี มีกลุ่มก้อนทางการเมืองบางกลุ่มบางพรรคไม่เคยชนะใจประชาชน เพราะเขาไม่สามารถที่จะทำนโยบายหรือปฏิบัติได้จริง เลยต้องใช้วิธีการกล่าวหาสภาในอดีตว่าเป็น “สภาผัวเมีย”

ยิ่งการเขียนกติกาที่เสมือนว่าตั้งไข่ผิดมาตั้งแต่แรก เพื่อที่จะทำให้เสียงข้างน้อยมีค่าจึงออกแบบเป็น “บัตรใบเดียว” ที่เลือก ส.ส. / นายกฯ / พรรคการเมือง เพื่อให้พรรคการเมืองไม่ใหญ่จนเกินไป จนได้เสียงถึงครึ่งของรัฐสภา

ทั้งๆ ที่ในอดีตเราก็เคยมีเหตุการณ์ลักษณะนี้มีพรรคเล็กพรรคน้อยเกิดขึ้นเหมือนประชาธิปไตยจะเบิกบานแต่ในที่สุดแล้วมันก็ไปไม่ได้

เราก็เรียนรู้กันว่าต้องพัฒนาการเมืองให้เข้มแข็ง ในช่วงปี 2540 ก็เกิดพรรคไทยรักไทยขึ้นมา จึงมีความพยายามสร้างวาทกรรมเรื่องเผด็จการรัฐสภา เลยทำให้วันนี้กลับไปสู่การเกิดพรรคเล็กพรรคน้อย

จากกติกาแบบนี้ จะส่งผลให้รัฐบาลตั้งแล้วอยู่ยาก หลักสากลถูกละเลย ถูกละเมิดเพียงเพื่อที่จะแย่งเข้าสู่อำนาจ จึงไม่คำนึงถึงวิธีการ องค์กรกลางต่างๆ ก็ถูกดึงมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้อยู่ในอำนาจ

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว รัฐบาลหน้าก็ไม่สามารถที่จะสร้างความมั่นคง หรือสร้างความศรัทธาให้กับประชาชน และไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศในการลงทุนได้

คาดการณ์เสียง ส.ว.เลือกนายกฯ

ผมเชื่อว่า เสียงกว่า 90% หรือ 99% ต้องยกมือ vote ไปในทิศทางเดียวกันเกือบทั้งหมดแน่นอน เว้นเพียงแต่ตำแหน่งประธาน พวกคุณสามารถก้มหน้า ยกมือเลือกนายกฯ ได้ แต่คุณไม่สามารถเงยหน้ามองมาที่ประชาชนได้ เพราะสิ่งที่คุณกำลังทำนั้นมันไม่ถูกต้อง

เวลานี้ท่านนายกฯ เป็นประธาน คสช. และมีส่วนได้เสียในการจิ้มเลือก 250 คนที่จะกำลังเป็นคนเตรียมกลับมาเลือกท่านเอง มันถูกต้องแล้วหรือ?

เรียกว่าผลประโยชน์ทับซ้อนได้หรือไม่?

รวมถึงจะสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างไร

ณ เวลานี้ก็พอมองออกแล้วว่าจะมีใครบ้างที่ได้เป็น และเท่าที่มองดูคนเหล่านี้ก็ไม่เคยผ่านกระบวนการเป็นตัวแทนของประชาชนเลย ไม่เคยรับรู้ ไม่เคยลงไปสัมผัส แล้วอย่างนี้หรือจะเอามา

ยิ่งถ้าคุณไม่ได้อยู่ในเรือลำเดียวกับเขา ในแม่น้ำสายเดียวกับเขา เราก็จะเห็นคนที่พยายามแสดงออกก็พอมองออกว่ามีใครบ้างที่พยายาม ที่จะใช้กระบวนการสร้างภาพ สร้างงานเพื่อให้เข้าทางกับผู้มีอำนาจ เพื่อที่จะได้ตำแหน่ง

ทางออกของฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า”ประชาธิปไตย”

หนทางเดียวที่จะเอาชนะได้คือการต้องชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายของฝ่ายประชาธิปไตย

ซึ่งดูแล้วมันเป็นไปไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญได้เขียนไว้หมดแล้ว ปิดทุกประตู วิธีไหนก็แล้วแต่ จะออกแบบมายังไงก็แล้วแต่ จะใช้วิธีการใดก็แล้วแต่ “นายกฯ ก็คือประยุทธ์” ไม่มีทางอื่น เว้นแต่ว่าจะมี “ปรากฏการณ์ที่เราคาดเดาไม่ได้”

โจทย์วันนี้ที่ต้องพูดคือหนทางของการแก้กติกา-แก้รัฐธรรมนูญ จากประสบการณ์ผมผ่านมาแล้วครับในการที่จะขอแก้รัฐธรรมนูญมันยากมาก

ไม่อย่างงั้นมีอีกทางหนึ่งก็คือใช้กำลัง แต่ผมก็มองว่าถ้าไม่แก้กติกามันก็จะเป็นอยู่แบบนี้ มันจะเกิดความวุ่นวาย และไม่สามารถที่จะเดินหน้าบริหารประเทศได้อย่างราบรื่น

อย่าคิดนะครับว่าเสียงเกินไปแค่ 4-5 เสียงจะบริหารประเทศได้ มันไม่ง่ายเลย เพราะจากประสบการณ์-ประวัติศาสตร์มันสอนเรามาหลายครั้งแล้ว

ต่อไปนี้ทุกคนห้ามป่วย ห้ามไปไหน จะต้องแต่งตั้งคนที่เข้ามาคุมวิป คุมกำลัง ต้องดูแลห้ามหลุดไปไหนแม้แต่คนเดียว เพราะมันจะมีกฎหมาย มีญัตติเข้ามาสู่การพิจารณาในสภา

ทำให้มองได้ว่าท้ายที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดเพื่อความมั่นคงและมีเสถียรภาพของรัฐบาลมันก็จะเกิดงูเห่างูเขียวงูจงอางเต็มไปหมดในทุกๆ เรื่อง เมื่อก่อนคนที่บอกว่าเข้าห้องน้ำจ่ายเงินกัน เดี๋ยวนี้ไม่ต้องครับ เดี๋ยวนี้เป็น internet Banking แล้ว ต่อให้คนที่เป็นสีขาวๆ ไม่เทาไม่ดำ เขาก็ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้

และบางทีไม่ใช่เรื่องของเงิน เป็นการเอาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ คือเรื่องกระบวนการยุติธรรม (ซึ่งเป็นจุดแข็งตัวเอง) เข้ามาเกี่ยวข้อง เข้ามาบีบบังคับให้เกิดงูเห่าในกระบวนการต่อรอง

เกมตั้งประธานรัฐสภา

หลังจากที่มีการเปิดสภาแล้ว ประธานรัฐสภามีความสำคัญมาก บุคคลนี้จะทำหน้าที่สำคัญ ซึ่งผมคิดว่าพรรคพลังประชารัฐไม่มีทางปล่อยหรือยอม เขาต้องรวบรวมเสียงให้ได้ มันจะส่งผลต่อเรื่องการควบคุมเกมในสภา ในการที่จะเอากฎหมายเข้า-ออกกฎหมายต่างๆ หรือแม้กระทั่งการเตะถ่วงทำให้สภาไปในทางใดทางหนึ่ง ประธานจะมีผลอย่างมาก

การที่ฝั่งเพื่อไทยจะชิงตั้งก่อนนั้น ผมเชื่อว่าพลังประชารัฐไม่ปล่อยอยู่แล้ว พลังประชารัฐจะเอาทั้งตำแหน่งของประธานรัฐสภาและตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วผมเชื่อว่าจะมีการใช้วิธีการไม่เปิดเผย (ลงคะแนนลับ) คนที่เคยแน่วแน่ ก็จะกลับคำพูดได้ ไม่รู้ใครเป็นใคร

แล้วไม่แน่ว่าตำแหน่งรองประธานสภาประธานคนที่ 1-คนที่ 2 ที่ต้องใช้วิธีการเดียวกัน ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะไม่มีรองประธานจากฝ่ายตรงข้าม นาทีนี้ทุกๆ ตำแหน่งมีความหมาย

บ้านเราจำเป็นต้องมี 2 สภา?

ผมมองว่าเราน่าจะลองดู ในอดีตที่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเราอาจจะมี ส.ส.ขาดองค์ความรู้หรือประสบการณ์เลยไปตั้งข้าราชการในสมัยนั้นในกระทรวงทบวงกรมต่างๆ มาช่วยเป็นพี่เลี้ยง แต่เวลานี้เมื่อเรามีข้อกำหนดในการกำหนดให้มีคุณสมบัติอย่างไร มีวุฒิภาวะความรู้ เวลานี้ถ้าเกิดจะไม่มีวุฒิสภา ผมว่าก็น่าจะลองดู สภาเดียวอาจจะไม่ต้องวุ่นวาย เราเรียนถูกเรียนผิดมาโดยตลอด

แต่ผมขอเน้นย้ำการที่พยายามเข้ามายุ่งของ ส.ว.ในการพิจารณางบประมาณ จะทำให้ภาระหน้าที่ที่ประชาชนคาดหวังว่าวุฒิสภาจะเป็นตัวแทนในการรักษาประโยชน์ รักษาความเป็นธรรมให้กับสังคม ความชอบธรรมเหล่านี้มันจะหายไป

แล้วมันจะเกิดความวุ่นวายที่เขาเข้ามามีบทบาทและผลประโยชน์ในการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งเป็นเรื่องของตัวแทนประชาชนที่ต้องเข้ามาจัดการ

ยังเชื่อว่านายกฯ คนต่อไปคือคนหน้าเดิมกับคนปัจจุบัน?

ณตอนนี้ก็ยังพูดได้ว่า 99 เปอร์เซ็นต์เป็นคนเดิมกับคนปัจจุบัน ผมเผื่อไว้เปอร์เซ็นต์หนึ่งไว้โอกาสเกิดขึ้นได้กับเรื่องอื่น ปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันก็เกิดขึ้นได้

แต่ตอนนี้ดูแล้วยังไงก็มีอยู่คนเดียวที่จะเป็นนายกฯ ก็คือประยุทธ์

แต่เป้าหมายสุดท้ายที่อยากให้มองคือเมื่อเราคิดว่า พล.อ.ประยุทธ์มาเป็นนายกฯ แน่นอน ไม่ว่าจะยังไงกฎหมายก็เขียนไว้แล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์มาอยู่แล้ว เมื่อเขาอยากเป็น ทำไมเราไม่ให้เขาเป็นไปเลย แล้วรอดูวันที่มาตรา 44 หมดไป คนเราเมื่อไม่มีอาวุธ ไม่มีปืน แล้วก็สู้ในสภา สู้กันด้วยวิธีคิดและนิติรัฐนิติธรรม ผมเชื่อเหลือเกินว่าท่านก็จะ “ค้นพบสัจธรรม”

ส่วนตัวเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะอยู่ได้ไม่นานมาก แต่เขาก็พยายามทุกวิถีทางที่จะอยู่ ต่อให้มีการเลือกตั้งเข้ามาใหม่ก็จะเป็นอยู่อย่างนี้แหละ ถ้าไม่แก้กติกา

ชมคลิปสัมภาษณ์ “นิคม” ฉบับเต็มได้ที่