จรัญ พงษ์จีน : ยังไงๆก็ได้ “ประยุทธ์” แต่…..

จรัญ พงษ์จีน

อะไรที่ว่า “แน่” แต่ก็ “ไม่แน่” เสมอไปทุกเรื่อง ถึงชั่วโมงนี้ การเมืองว่าด้วยผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรีคนที่ 30” ของประเทศไทย หวยล็อกน่าจะออกที่ “คนที่ 29” ชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ล้านเปอร์เซ็นต์

เพราะพรรคที่ประกาศเป็นขาหยั่งให้กลับสู่ตึกไทยคู่ฟ้า คือ “พลังประชารัฐ” เพิ่งจะไปจับปูใส่กระด้ง “ดูด” 11 พรรคเล็กมาเป็นแนวร่วมได้ เมื่อนำเสียงมามัดข้าวต้มกับ “พปชร.” ที่มีหน้าตักอยู่ 115 เสียง รวมเป็น 126 ที่นั่ง มีอิทธิฤทธิ์สูงส่งขึ้นมาโดยพลัน

ยิ่งเมื่อในเวลาถัดมาไม่กี่ชั่วยาม เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “สมาชิกวุฒิสภา” จำนวน 250 คน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามมาตรา 269

ส่งผลให้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ส่อเค้าเล่าอาการว่าจะเป็นเชนคัมแบ๊ก ยึดตึกไทยคู่ฟ้ารอบ 2 สะดวกขึ้น

เพียงแค่นำ 115 ส.ส.สังกัดพรรค พปชร. กับ 11 พรรคเล็ก มาบวกลบ หาสัดส่วนตามหลักคณิตศาสตร์ นำตัวเลขของคำจำกัดความว่า “รัฐสภา” ที่มาจาก “สภาผู้แทนราษฎร” กับ “วุฒิสภา” 500+250 ที่นั่งมาเป็นตัวตั้ง เท่ากับ 750 เสียง

หารเหลือครึ่งหนึ่ง ตัวเลขกลมๆ อยู่ที่ 375 ที่นั่ง

จากนั้นนำ 250 ส.ว.มาบวกด้วยตัวเลขของ ส.ส.พปชร. +11 พรรคเล็ก เท่ากับ 126 เสียง นำมารวมเข้าด้วยกัน เท่ากับ 376 เสียง เกินครึ่งหนึ่งไปหนึ่งเสียงแล้ว ขนาดยังไม่นับรวมกับพรรคที่มี 2-5 เสียง ซึ่งแสดงความจำนงมาตลอดว่าสนับสนุน “บิ๊กตู่” ก็สามารถก้าวข้าม “คลีนนิ่งโซน” อย่างสบายแฮ

มีแนวโน้มสูงว่า ขั้วหนุน “พล.อ.ประยุทธ์” จะสามารถชิงลงมือฟอร์มจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จสมประสงค์ เพราะตัวเลขกลมๆ ของอีกขั้ว ที่นำโดย “เพื่อไทย” นิ่งสนิทอยู่ 240 เสียง โดยประกอบด้วย “เพื่อไทย” 136 “อนาคตใหม่” 80 “เสรีรวมไทย” 10 “ประชาชาติ” 6 กับ “เพื่อชาติ” 5 ที่นั่ง และพรรคขนาดเล็กอีก 2-3 พรรค

ฝักถั่วที่เหลือ 259 ที่นั่ง น่าจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลได้บรรลุ และในขั้นตอนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี “250 ส.ว.” สามารถเข้าไปประชุมและร่วมลงมติได้ตามไฟต์บังคับของรัฐธรรมนูญ 2560 ยิ่งแน่แช่แป้งเข้าไปใหญ่ ว่า “บิ๊กตู่” จะคืนถิ่น

 

แต่ในโลก ทุกเรื่องราว ไม่มีอะไรแน่นอนตายตัวหวานคอแร้งเสมอไปทั้งหมด

เนื่องจาก “พรรคประชาธิปัตย์” ที่พ่ายแพ้ศึกเลือกตั้งมาอย่างหมดรูปไม่เหลือลาย จน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต้องประกาศไขก๊อกจากหัวหน้าพรรค

ผลการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ ที่เพิ่งจบข่าวไปเมื่อวันวาน ปรากฏว่า “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” อดีต ส.ส.และรัฐมนตรี ที่ชูนโยบาย “อเวนเจอร์” ผงาดขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 8

ชนะขาดเหนือคู่แข่งคนอื่นๆ ทั้ง “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค-กรณ์ จาติกวณิช-อภิรักษ์ โกษะโยธิน”

ห้องเครื่องที่สนับสนุน “อู๊ดด้า” ยึดหัวหาดพรรคประชาธิปัตย์ได้สำเร็จ ทราบกันดีว่า เป็นฝีมือของ 3 หัวหน้าพรรคเก่า แท็กทีมกันระหว่าง “ชวน หลีกภัย-บัญญัติ บรรทัดฐาน-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”

ซึ่งทั้ง 3 อดีตหัวหน้าพรรคแสดงจุดยืน เพื่อสรุปบทเรียนของความพ่ายแพ้ว่า ในการวางตัวหลังสภาผู้แทนราษฎรเปิดเทอมใหม่คือ ไม่ฝักใฝ่ข้างหนึ่งข้างใด ขอวางอุเบกขาเฉยเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ”

ไม่จับขั้วถาวรกับเพื่อไทยในการเป็นฝ่ายค้าน และไม่ร่วมรัฐบาลกับ “พปชร.” ดัน “บิ๊กตู่” ขึ้นแป้นนายกฯ

 

ศึกชิงหัวหน้าพรรค “ประชาธิปัตย์” ที่ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ชนะด้วยเสียงท่วมท้นล้นหลาม มีการหยั่งท่าที ดูทิศทางลมแล้วว่าจะพัดผ่านไปทางฝั่งไหน เจ้าตัวยังไม่ยอมเผยไต๋

ระบุเพียงว่า แล้วแต่มติของที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ร่วม หรือ “ฝ่ายค้านอิสระ” เป็นผู้กำหนดบทบาท ตัดสินใจเองไม่ได้

กรณีที่กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่มีมติร่วมวงไพบูลย์ จับขั้วฟอร์มรัฐบาลกับ “พปชร.” ทุกอย่างก็จบข่าวบริบูรณ์ “พล.อ.ประยุทธ์” สามารถสืบทอดอำนาจต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง

แต่กรณีที่ประชาธิปัตย์มีมติเลือกทำหน้าที่ “ฝ่ายค้านอิสระ” จะเกิดเรื่องใหญ่ในบัดดล เกมดัน “บิ๊กตู่” เกิดสภาพโอเวอร์ เจอทางตันทันใด

จริงอยู่ในขั้นตอน “โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี” เสียงสนับสนุนเกินครึ่งหนึ่งของรัฐสภา เพราะ “ส.ว. 250 คน” สามารถเข้าไปร่วมแจมได้ด้วย

แต่ตกม้าตายก่อน ใน “บันไดขั้นที่ 1” พลันที่เปิดประชุมสภานัดแรกในวันที่ 22 พฤษภาคม เพื่อเลือก “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” การขาดเสียงจาก “ประชาธิปัตย์” หากเลือกที่จะนั่ง “ฝ่ายค้านอิสระ”

ซีกของ “เพื่อไทย” จะได้เปรียบเต็มประตู หากคนที่จะทำหน้าที่ “ประธานสภา” มาจากฝั่งประชาธิปไตย “ขั้นตอนที่ 2” ก็ไม่ลื่นไหล ปลอดภัย

ดังนั้น หากฝ่ายพันธมิตรที่ประกาศเป็นประชาธิปไตย ชิงธงได้ประธานสภาผู้แทนราษฎรไปก่อน โอกาสของ พปชร.ก็วุ่นวาย

แม้ว่าหลังจากนั้นประชาธิปัตย์จะเกิดสภาพ “พรรคแตก” มี “งูเห่า” ไหลเลื้อยไปจำนวนหนึ่ง

แต่ดูจากผลเลือกตั้งหัวหน้าพรรค ไปแค่ครึ่งเดียว ซึ่งเสียงสนับสนุน “บิ๊กตู่” ก็ไม่เพียงพออยู่ดี

มีข่าวคลุกวงในระบุ ศึกเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จบการเมืองเรื่อง “ขั้วที่สาม” ร้อนแรงอย่างมาก ประชาธิปัตย์ 52 เสียง ภูมิใจไทย 51 เสียง และชาติไทยพัฒนา 10 เสียง รวมเป็น 113 เสียง

ทั้ง 3 พรรคไม่ค่อยสมอารมณ์ เกี่ยวกับการออกข่าวแบ่งกระทรวงกันรับผิดชอบระหว่างพรรคร่วม ที่ปรากฏว่า “พปชร.” ล็อกสเป๊กกระทรวงเกรดเอเอาไว้กับตัวเองเกือบทั้งหมด ทั้งที่มีอยู่แค่ 115 ที่นั่ง

พุงปลามัน กระทรวงกลาโหม กับมหาดไทย คมนาคม ระบุว่าเป็นโควต้ากลางของ “คสช.” ต้องเซฟไว้

คลัง-พาณิชย์ เศรษฐกิจภาพรวม ยังสานต่อโดย “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”

“4 กุมารทอง” ที่เสียสละไปทำงานที่ พปชร. ก็ต้องได้ที่นั่งระนาบเดิม “กลุ่มสามมิตร” ก็ต้องได้รับอานิสงส์ตามอัตภาพ

มีข่าวว่ามีการผ่าเค้กในเบื้องต้นแล้ว พปชร. 15 ที่นั่ง “ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย” พรรคละ 7 ที่นั่ง แต่จะเป็น “เกรดบี-บีบวก” ถือว่าไม่ค่อยแฟร์สักเท่าไหร่

เลยมีเสนอไอเดีย จัด “ขั้วที่สาม” ให้ “อภิสิทธิ์” หรือ “หนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” คนหนึ่งคนใดส้มหล่นได้นั่งนายกรัฐมนตรี โดย “พรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่” พร้อมที่จะเป็นอะไหล่เสริมใยเหล็กให้เต็มที่

“ขั้วที่สาม” จะแรงฤทธิ์ เสียงทะลุ 350 ที่นั่งทันที ฐานครอบคลุมครบทุกภาค อีสาน ใต้ กทม. และคนเมือง

การเมืองมันลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น