เปิดใจ “อาเหน่” แชมป์ “เดอะวอยซ์ ซีเนียร์” คนแรก “บทเพลง” กับ “วงสังสรรค์” คือของคู่กัน

รายการเดอะวอยซ์ ซีเนียร์ ซีซั่น 1 ปิดฉากลงไปแล้ว พร้อมการคว้าแชมป์ไปครองของนักร้องสมัครเล่นวัยขึ้นต้นเลข 7 ซึ่งถูกเรียกขานกันว่า “อาเหน่” ซึ่งโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เขานำเสนอตลอดมาว่า “บทเพลง” กับ “วงเหล้า” นั้นเป็นของคู่กัน

เอกลักษณ์ที่แลดูย้อนแย้งกับบรรทัดฐานของสังคมยุคใหม่ ซึ่งถูกนิยามโดยเหล่าผู้ชำนาญการด้านสุขภาวะ กลับกลายเป็นสิ่งที่ตราตรึงบรรดาแฟนคลับและผู้ชม

แม้แต่ประโยคแรกที่ทีมงานของเราได้ยินจากปาก “อาเหน่” เมื่อคราวนัดสัมภาษณ์กัน ก็คือคำพูดที่ว่า “อ้าว ก็บอกแล้วไง ไม่เมา ไม่ร้อง”

“อาเหน่” มีชื่อจริงว่า “เสน่ห์ ดำขำ” เขาคือชายไทยรูปร่างสูงโย่งวัย 70 ปี ที่เกษียณอายุจากการไฟฟ้านครหลวง โดยเคยสังกัดอยู่ในส่วนงานอิเล็กทรอนิกส์เครื่องเสียง

ก่อนหน้านี้ “อาเหน่” ไม่เคยรับงานร้องเพลงและประกวดร้องเพลงที่ไหนเลยแม้แต่งานเดียว กระทั่งเข้ามาประกวดในรายการเดอะวอยซ์ ซีเนียร์ โดยเขาให้เหตุผลว่าตนไม่ได้ชอบงานด้านนี้ แต่เห็นเป็นเพียงกิจกรรมยามว่างมากกว่า แถมยังคิดว่าตัวเองเสียงไม่ดีด้วย

“คนสมัยก่อนไม่ค่อยชอบเต้นกินรำกิน ผม (ก็) ไม่ชอบ คือตอนเรียนจบมา เราต้องมองให้ถูก อาชีพเป็นอะไร อาชีพหลักคืออะไร ไม่ใช่ว่าคนเรียนจบมาสูงๆ แต่เขาอยากเป็นนักร้อง แล้วเขาก็หันไปเป็นนักร้อง เป็นนักดนตรีเลย พวกนั้นก็ต้องคิดมากนะ

“คนที่มันจะดัง คนที่จะมีชื่อเสียง มีกี่คน เราจะสำเร็จรึเปล่า? สิ่งเหล่านี้มันเป็นมายาทั้งนั้น พอเข้ามารายการนี้ มุมมองมันก็เปลี่ยนไป เราได้เห็นผู้สูงวัยทั้งหลายที่เข้ามาประกวดก็ล้วนเป็นคนที่มีความสามารถทุกท่าน การกระทำของเขา ที่เขาได้ลองมาประกวด พวกนี้เอาจริงเอาจังมาก มืออาชีพทั้งนั้น” อาเหน่เล่า

ด้วยวิธีคิดเช่นนั้น คนส่วนใหญ่จึงไม่เคยรับรู้ว่า “อาเหน่” สามารถร้องเพลงได้ แม้แต่แม่ของตัวเอง เนื่องจากเขาไม่เคยแม้แต่จะฮัมเพลงในที่สาธารณะ ยกเว้นก็เพียงการเปล่งเสียงร้องใน “วงสังสรรค์” และสโมสรดนตรีกับเพื่อนฝูงเป็นครั้งคราว

ครั้งแรกสุดที่ผู้คนจำนวนมากได้ฟังน้ำเสียงอันมีเสน่ห์ของ “อาเหน่” ก็คือในงานแต่งงานของเจ้าตัว ซึ่ง “อาเหน่” ได้ขึ้นไปร้องเพลงคู่กับศรีภรรยา “ณี-ดรุณี ดำขำ” (ซึ่งเข้าประกวดในเดอะวอยซ์ ซีเนียร์ ซีซั่น 1 เช่นกัน แต่ไม่ผ่านรอบบลายด์ ออดิชั่น)

ด้วยความที่ไม่ได้ปฏิบัติตัวเป็น “นักร้อง” มาก่อน มูลเหตุการเข้าประกวดเดอะวอยซ์ ซีเนียร์ ของ “อาเหน่” จึงมีลักษณะแปลกประหลาดพอสมควร

“อาเหน่” เล่าว่า เขาไม่เคยรู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองกลายเป็นผู้สมัครเข้าร่วมรายการเดอะวอยซ์ฯ เพราะทุกอย่างเริ่มต้นจากการที่หลาน (แอบ) ถ่ายคลิปวิดีโอขณะที่ “อาเหน่” กำลัง “สังสรรค์” ในบ้านจนได้ที่ แล้วร้องเพลง “เมาให้ตาย” ออกมาพอดี

หลังจากนั้นหลานก็จัดแจงส่งคลิปร้องเพลงของ “อาเหน่” และ “คุณณี” มาที่รายการเดอะวอยซ์ ซีเนียร์ แล้วผลงานของทั้งคู่ก็ทะลุมาถึงรอบบลายด์ ออดิชั่น ได้สำเร็จ

มารู้ตัวอีกที “อาเหน่” ก็ต้องปล่อยให้ทุกอย่างเลยตามเลย

เพลงที่ “อาเหน่” เลือกมาร้องในการประกวดจนได้รับรางวัลชนะเลิศมีทั้งหมด 3 เพลง ซึ่งล้วนมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความเมาในบริบทต่างๆ

เริ่มจาก “เมาให้ตาย” ผลงานต้นฉบับโดย “ชัย สานุวัฒน์”, “ฉลองวันปราชัย” ผลงานต้นฉบับโดย “ยอดรัก สลักใจ” แต่หลายคนมักคุ้นเคยกับเวอร์ชั่นของ “เอกชัย ศรีวิชัย” และ “ถึงแม้พี่จะขี้เมา” ผลงานต้นฉบับโดย “นริศ อารีย์”

ในการแข่งขันตั้งแต่รอบแรกถึงรอบสุดท้าย “อาเหน่” ต้องร้องเพลงรวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง แต่ในการแสดงปิดท้าย เขาได้เลือกเพลง “เมาให้ตาย” มาร้องซ้ำอีกหน

“อาเหน่” เล่าถึงที่มาของการเลือกบทเพลงทั้ง 3 เพลงนี้ว่า ทั้งหมดคือชีวิตของเขา เพราะอย่างไรเสียบทเพลงกับวงเหล้าก็ต้องเป็นของคู่กัน

“ถ้าไม่ได้ที่ ก็จะไม่ค่อยได้ร้องเพลง ร้องเพลงมันต้องมีความสุข ถ้าไม่เมาจะร้องแบบนี้ได้ไง จะร้องเมาให้ตาย จากพี่ไปไกล มันก็ไม่ได้

“นักร้องก็จะรู้อารมณ์ว่ามันออกอย่างไรแค่นั้นเอง มันจะถูกใจคนไม่ถูกใจคน มันก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์คนร้อง ไม่งั้นไอ้ 3 เพลงนี้ไม่เกิดหรอกนะ (มันเกิด) เพราะสังสรรค์ไง โดยปกติเราร้องเพลง เพลงเพราะๆ งานไหนก็ได้ แต่ถ้าสังสรรค์ เพลง 3 เพลงนี้ต้องออกแน่” อาเหน่กล่าว

แม้อาเหน่จะพูดมาขนาดนี้ แต่ในช่วงการประกวดเขาก็ไม่ได้ “ดื่ม” เหมือนที่พูดมา เพราะว่าใกล้ๆ สถานที่อัดรายการนั้นไม่มี “ร้านขายเครื่องดื่ม” เปิดให้บริการเลย

ถึงกระนั้น “การดื่ม” ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เพราะเมื่อไม่กี่ปีก่อน “อาเหน่” เคยป่วยหนักเป็นโรคเส้นโลหิตในสมองตีบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ “อาเหน่” กลับมาแข็งแรงดังเดิมแล้ว

แม้จะต้องล้มป่วยจากพฤติกรรม “กินดื่ม” แต่ปัจจุบัน “อาเหน่” ก็กลับมา “ดื่ม” เหมือนเดิม แม้จะรู้ว่านั่นเป็นสิ่งไม่ดีต่อร่างกาย ทว่าชายชรากลับไม่อยากหลีกเลี่ยง เพราะเห็นเป็นความสุขส่วนหนึ่งของชีวิต

“เราเจอวงสังสรรค์แล้วทำให้เรามีอารมณ์ สมัยก่อนไม่มีหรอกนะคาราโอเกะ มีอิเล็กโทนตัวหนึ่งก็เล่นไป หลับไปแล้วมันยังเอามือวางบนคีย์บอร์ด มือมันไปเอง นั่นแหละชีวิตเรา ที่ว่ามันมีความสุขอ่ะ” อาเหน่เผย

หลังเกษียณอายุ “อาเหน่” แทบจะไม่ได้ห่างจากวงสังสรรค์เลย เพราะมีเพื่อน-ญาติ-พี่น้อง คอยแวะเวียนมาหาอยู่เป็นประจำ

แต่ก็ใช่ว่าชายวัย 70 จะนอน “เมา” อยู่ตลอดเวลา “อาเหน่” ยังรู้จักออกกำลังกายโดยการไดรฟ์กอล์ฟสลับกับการจัดสวนในบริเวณบ้าน

“ตีกอล์ฟก็เป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง เล่นกีฬามาตลอด ก็เหลือกอล์ฟอย่างเดียวที่พอเล่นได้ อย่างอื่นก็ไม่มีปัญญาแหละ งานบ้านมันจำเป็นต้องทำอ่ะ บ้านช่องมีที่อยู่ ปลูกต้นไม้เยอะแยะ ดูไปมันทุเรศ แทนที่จะปลูกให้มันน่าดู (พอ) ไม่น่าดู เราก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำแล้วใครจะทำ แค่นั้นเอง ต้องทำมั้งนะ (หัวเราะ)” อาเหน่พูดไปขำไป

หลายคนอาจมองว่าการคว้าแชมป์เดอะวอยซ์ ซีเนียร์ ของ “อาเหน่” ถือเป็นการเริ่มต้นบนเส้นทางสายดนตรีที่ช้าเกินไป

ในมุมของ “อาเหน่” เขาบอกว่า เมื่อนึกย้อนไปยังช่วงวัยรุ่น ตนเองกลับไม่เคยคิดเสียดาย เพราะการเป็นศิลปินไม่ใช่อาชีพที่ชื่นชอบและใฝ่ฝัน

แต่อีกด้านหนึ่ง ชายชราก็รู้สึกภูมิใจที่ตัวเองสามารถคว้าแชมป์มาได้ และการเข้าร่วมรายการเดอะวอยซ์ฯ คืออีกหนึ่งกิจกรรมดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต

เมื่อถามว่าในอนาคตอยากจะมีซิงเกิลเป็นของตัวเองไหม? “อาเหน่” รีบปฏิเสธทันทีว่าไม่เอาแล้ว ได้เงินก็ไม่เอา

“บอกไว้ก่อนไม่เอา ได้ตังค์ก็ไม่เอา ต้องมาเหนื่อยตอนแก่มันเป็นเวรกรรมนะ บอกไว้ก่อน (ถ้าจะมา) ติดต่อ (ออก) ซิงกงซิงเกิล นี่แหละซิงเกิลลุง 3 เพลงนั้น (3 เพลงที่ร้องประกวดในรายการ)

“เหนื่อย แค่นั่งถ่ายทีวี นั่งถ่ายอะไรนี่ก็กลุ้มแล้ว ไม่เคยไง คนไม่เคย นั่งถ่ายเถ่ยอะไรกันตั้งแต่เช้ายัน 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม โหไม่ไหว สำหรับคนอายุผู้เฒ่าอ่ะเนอะ ลุงจะดังไปอีกนานรึเปล่าก็ยังไม่รู้ หรือว่าเป็นเวรกรรมที่มีคนคอยทักคอยอะไรแบบนี้”

อาเหน่กล่าวทิ้งท้ายอย่างเข้าใจปรัชญาชีวิตในช่วงปัจฉิมวัย