ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 ธันวาคม 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | รักคนอ่าน |
เผยแพร่ |
สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ยุ่งเหยิงมากสำหรับฉัน
มีหนังที่เล่นจะฉายเรื่องนึงเลยต้องเดินทางทำการโปรโมตหนัง
ถ่ายรายการสองรายการ
ปิดกล้องหนังเรื่องหนึ่ง
ถ่ายละครเรื่องหนึ่ง
และเปิดกล้องละครอีกเรื่องหนึ่ง
ความน่าสนใจคือละครทั้งสองเรื่องนั้นฉันเล่นเป็นแม่
เรื่องหนึ่งมีบุตรน้อยจ้อยจิ๋วสองคน
แต่อีกเรื่องนั่นมีลูกโตเป็นหนุ่มแล้ว
หลายคนรู้เข้าก็อาจจะเบะปากว่า “อี๋ เล่นเป็นแม่”
แต่ฉันกลับเฉยๆ แฮะ
ส่วนหนึ่งก็คือฉันรู้สึกสบายดีในฐานะที่ประกอบอาชีพเป็นนักแสดง ทำมันเป็นงานหลักหาเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัว การเดินทางผ่านเวลาในอาชีพนี้มา 20 ปี ก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย มาถึงจุดที่ได้เล่นเป็นแม่คนโดยไม่หลุดวงโคจรอาชีพไปเสียก่อนก็เลยไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
อย่างที่สองคือฉันเล่นเป็นสตรีที่มีบุตรมาตั้งแต่อายุ 18
ลูกเล็กมั่ง โตมั่งตามประสา ถ้าวัดเทียบเอากับความเป็นจริงว่าเกิดฉันมีลูกตั้งแต่อายุ 18 จริงๆ ป่านนี้ลูกฉันก็โตเป็นหนุ่มแล้ว
นี่ก็เรื่องธรรมดาอีก
แต่มันก็คงยังไม่ธรรมดาอยู่ดีในสายตาสื่อมวลชน
ทั้งๆ ที่เพิ่งบ่นให้คุณได้ฟังไปเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนว่าอย่ามาถามฉันเลยเรื่องแต่งงานมีครอบครัวก็ยังไม่วายโดนถามอยู่ดีตอนไปบวงสรวงเปิดกล้องละคร ว่าเล่นเป็นแม่แล้วเหรอ (ไม่ได้ถามหน้านิ่งๆ ปกติ แต่ทำหน้าตื่นตกใจในระดับมากมายพอสมควร) ถามแบบนี้จะให้ฉันตอบว่าไง ก็ต้องว่าใช่น่ะซี
แล้วแน่นอนว่าคำถามก็ต้องโยงไปสู่เรื่องชีวิตรักส่วนตัว
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักหรอก ประเด็นจริงๆ ที่ติดอยู่ในหัวฉันก็คือมันแปลกจริงๆ เหรอ
ที่ผู้หญิงอายุสามสิบกว่าจะมีลูก
หรือเหล่าสื่อมวลชนคิดว่าฉันยังเด็กอ่อนเอ๊าะใสปิ๊ง
การมีลูก (ซึ่งหมายความรวมไปด้วยว่าต้องมีผัวแน่ๆ) จึงเป็นเรื่องน่าตกใจเหลือล้นพ้นประมาณ หรือคิดแทนฉันว่า “โถ แม่คุณ ชีวิตจริงดูสิ้นหวังเลยมามีลูกผัวเอาในโลกแห่งละครเอาสินะ”
อันนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน
อีกเรื่องที่ติดอยู่ในใจฉันคือภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ฉันยังไม่ได้ดู
แต่พอรู้เรื่องย่อแล้วก็ชอบอกชอบใจมากๆ นั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง Moonrise Kingdom
ภาพยนตร์ของ เวส แอนเดอร์สัน เรื่องนี้ว่าด้วยหนุ่มน้อย สาวน้อยคู่หนึ่ง รักกัน อยากใช้ชีวิตร่วมกัน แล้วก็เลยหนีตามกันไป
บอกมาแค่นี้ดูธรรมดาใช่ไหม? มันไม่ธรรมดาตรงที่หนุ่มสาวทั้งสองนั้นเป็นลูกเสือสำรอง อายุไม่น่าจะเกิน 13 ปีนั่นเอง เลยก่อความปั่นป่วนชุลมุนวุ่นวายในหมู่-ผู้ใหญ่-รอบๆ ตัวเขา ทั้งพ่อ แม่ ครู นักสังคมสงเคราะห์ต้องออกตามหาตัวกันให้วุ่นไปหมด
เรื่องวัยอันสมควรมีครอบครัวนี่ฉันเคยพูดเอาไว้ตั้งแต่ครั้งทำหนังของตัวเองแล้ว
ว่าจริงๆ วัยอันสมควรนั้นขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง
ในสายตาของสังคมมันอาจขึ้นอยู่กับคนรอบตัว คนในครอบครัว วัย ฐานะ อาชีพ
แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเองเท่านั้นแหละ มีก็คือมี และไม่มีก็คือไม่มี มันก็เท่านั้น
วัยอันสมควรมีครอบครัว
มันวัยไหนกันนะ
มันคือวัยไหนกัน
ฉันเองก็ตอบไม่ได้ชัด
แต่ถ้าไปถามแซม ผู้หลงใหลคลั่งไคล้สเก็ตบอร์ดว่าวัยอันสมควรคือวัยไหน วูบแรกเขาคงตอบมาว่าวัยไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ 16 ปี
ก็แซมอายุ 16 ปี ชีวิตกำลังเดินทางขึ้นสู่จุดสูงสุด (แน่นอน, นี่คือความเห็นของเขา) แต่อยู่ๆ ก็โดนกระชากกลับลงมาติดพื้นด้วยความจริงอันเรียบง่ายว่า-แฟนสาวของเขากำลังท้อง”
วายป่วง อันนี้วายป่วงแน่นอน
หลายคนอาจจะรู้สึกว่าใช่, มันป่วงแน่ๆ เพราะแซมอายุ 16 และแฟนเขาก็เป็นเยาวชนพอๆ กัน
แต่ฉันกลับรู้สึกว่าเอาเข้าจริงๆ อายุก็ไม่ใช่ประเด็น มันเป็นที่ความพร้อมต่างหาก
คุณอาจจะเถียงว่าก็อายุ 16 มันจะไปพร้อมได้ยังไง อ้าว…ทำไมไม่ลองคิดดูบ้างว่าสมมติคุณอายุซัก…35 แล้วแฟนของคุณเดินมาบอกว่าเธอท้อง ฉันว่าคุณก็ตายวายป่วงพอๆ กันแหละ
ของแบบนี้ไม่มีใครรับมือได้ดีกว่าใครหรอกไม่ว่าจะอายุแค่ไหน คุณก็ตกใจได้เท่าๆ กัน
แต่ถ้าคุณใช้ชีวิตอยู่กับใครซักคนตอนอายุ 16 และไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรกับความจริงข้อนี้
การท้องของคู่รักคุณมันก็อาจจะไม่เป็นปัญหาเรื่องความตกใจไปมากกว่าการมานั่งจินตนาการถึงเพศของเด็กในท้อง หรือการตั้งชื่อลูกหรอก
นิก ฮอร์นบี ยังคงเขียนถึงความไม่เข้าท่าและสารภาพความในใจของผู้ชายร่วมสมัยได้สนุกเหมือนเดิม
ต่างกันเพียงว่าจากที่เขาเคยเขียนถึงผู้ชายในวัยผู้ใหญ่ ผู้ที่ชีวิตก้าวล่วงสู่วัยกลางคน
และกำลังประสบวิกฤติแห่งวัยที่ไม่ประสานกับความน่าจะเป็นของโลกรอบตัวนั้น
เขามาเขียนถึงเด็ก…ที่กำลังประสบปัญหาใกล้เคียงกันกับตัวละครก่อนๆ ของเขา
เขายังคงเล่นกับ “ความเป็นผู้ชาย” ได้อย่างน่าขำปนเพลียใจไปพร้อมๆ กับล้อ “ความเป็นผู้หญิง” ได้น่ารักเหมือนเดิม
ใครที่ชอบอ่านงานของฮอร์นบีก็น่าจะถูกใจกันสำหรับเล่มนี้ รวมถึงฉันด้วย
แต่อ่านไปก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้ามันเกิดกับตัวเองแล้วจะเป็นอย่างไร
เรามีวิธีรับมือกับปัญหาได้ไม่เหมือนกัน ต่อให้เป็นปัญหาเดียวกัน
ปัญหาที่สากลโลกยอมรับว่ามันเป็นปัญหาไม่ว่าเกิดกับใครก็ตาม
และปัญหาพวกนี้แหละที่ทำให้โลกหมุนและเปลี่ยนแปลงชีวิตเราทุกวัน
ไม่ใช่เรื่องที่ว่าฉันอายุเท่าไหร่ ทำไมยังไม่คิดจะแต่งงานมีผัวเป็นตัวตน หรือทำไมมาเล่นเป็นแม่เสียแล้ว
ปัญหาจากคำถามพวกนี้ตอบไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
นอกจากว่าอาจช่วยปลอบประโลมจิตใจคนบางคนที่มองว่าชีวิตอย่างฉันมันแย่กว่าเขาเท่านั้นเอง อ้าว แล้วกัน
ดันมาจบส่วนตัวเสียได้
ขออภัยและขอตัวไปเล่นเป็นบทแม่ก่อนนะคะ