สัญญาณเตือนจาก ‘โคลอมโบ’ ถึง ‘กรุงเทพฯ’ เมื่อเมืองไทยไม่ใช่ข้อยกเว้น!

สืบเนื่องจากกรณี “อีสเตอร์เลือด (Bloody Easter)” เมื่อวันอีสเตอร์ อาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2019 ที่กรุงโคลอมโบ (Colombo) เมืองหลวงของประเทศศรีลังกา (Sri Lanka)

ที่มีการจุดระเบิดฆ่าตัวตายถึง 8 ครั้ง ในสถานที่ 8 แห่ง คือ โบสถ์คริสต์ 3 แห่ง โรงแรมใหญ่ในโคลัมโบ 4 แห่ง หนึ่งในนั้นคือโรงแรม 5 ดาว Shangri-La Hotel รวมทั้งระเบิดในโรงแรมเล็กชานเมืองและบ้านพักแห่งหนึ่ง

การจุดระเบิดกระทำต่อเนื่องตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย สร้างความตกตะลึงให้ทางการศรีลังกาและผู้คนทั่วโลก

ผลของระเบิดสร้างความเสีย อย่างหนัก เบื้องแรกทางการศรีลังกาแถลงว่ามีคนเสียชีวิต 359 คน แล้วต่อมาเปลี่ยนตัวเลขเป็น 259 คน รวมทั้งมือระเบิด ในจำนวนนี้มีชาวต่างชาติ 38 คน ทั้งอเมริกัน อังกฤษ ออสเตรเลีย โปรตุเกส ฮอลันดา ตุรกี อียิปต์ มีคนบาดเจ็บกว่า 500 คน

โคลอมโบบอกว่า เหตุรุนแรงเกิดจากมุสลิมหัวรุนแรงในประเทศ ต้องการจะ “เอาคืน” จากการที่มุสลิม 50 คนถูกฆ่าตายในสุเหร่า 2 แห่งโดยคนผิวขาวหัวรุนแรงที่นิวซีแลนด์

ข้อเท็จจริงคือ มีชาวศรีลังกาที่นับถือคริสต์เพียง 7% และไม่ใช่คู่ขัดแย้งโดยตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดในนิวซีแลนด์ แต่ต้องมารับเคราะห์กรรม

กลุ่มที่ก่อการเรียกชื่อว่า NTJ เนชั่นแนล เตาฮีด ญะมาอัต และ Jammiyathul Millathu Ibrahim (JMI) ทั้ง 2 กลุ่มเป็นมุสลิมหัวรุนแรงในศรีลังกา

ต่อมา กลุ่มก่อการร้ายระดับโลก IS ออกมาประกาศความรับผิดชอบ พร้อมทั้งโชว์คลิปนักรบมุสลิมศรีลังกา 2 กลุ่มนี้ในพิธีปฏิญาณตนเข้าปฏิบัติการ

มีข่าวเพิ่มเติมว่า หน่วยข่าวกรองของอินเดียรู้ข่าวว่าจะเกิดปฏิบัติการระเบิดพลีชีพในโคลอมโบและส่งข่าวเตือนมาตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2019 รวมทั้งส่งข่าวเตือนโคลอมโบอีกครั้งก่อนหน้าจะเกิดระเบิดพลีชีพ 2-3 ช.ม.

แต่ทางการศรีลังกาไม่สนใจคำเตือนของหน่วยข่าวกรองอินเดีย เพราะรัฐบาลมัวแต่ทะเลาะกัน ประธานาธิบดีปลดนายกรัฐมนตรีแล้วต้องกลับแต่งตั้งเข้ามาใหม่

ทะเลาะกันยังไม่เสร็จ

งานนี้ รมต.กลาโหมศรีลังกาแสดงความรับผิดชอบ “ลาออก”

ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นหลายสิบปี ศรีลังกาต้องผจญกับการก่อการร้ายภายในประเทศจากพวกกบฏแบ่งแยกดินแดน “พยัคฆ์ทมิฬอีแลม” (Liberation Tigers of Tamil Eelam – LTTE) ที่เป็นเชื้อสายทมิฬพวกเดียวกับชาวทมิฬนาดูร์ในรัฐทมิฬนาดูร์ทางใต้ของอินเดีย

พยัคฆ์ทมิฬอีแลมมีฐานปฏิบัติการที่เมืองจัฟฟ์นา (Jaffna) เมืองท่าทางเหนือสุดของเกาะลังกาเพื่อปลดปล่อยดินแดนทางเหนือและทางตะวันออกของศรีลังกาที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวทมิฬออกมาเป็นรัฐเอกราชไม่ขึ้นกับศรีลังกา

การสู้รบแบ่งแยกดินแดนยาวนานถึง 30 ปี พวกกบฏ LTTE เคยลักลอบเข้ามาถึงในเมืองหลวงโคลัมโบแล้ววางระเบิดเครื่องบินแอร์บัสของแอร์ลังกาในสนามบินนานาชาติโคลอมโบ บันดารานาเยเก

รัฐบาลอินเดียสมัยนายกรัฐมนตรีราชีพ คานธี ส่งกองกำลังรักษาสันติภาพอินเดียมาช่วยศรีลังกาปราบกบฏพยัคฆ์ทมิฬอีแลมทำให้ชาวทมิฬล้มตายจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อราชีพ คานธี มาหาเสียงที่เมืองเชนไน (Chennai) (ชื่อที่อังกฤษตั้งคือมัทราช) เมืองหลวงของรัฐทมิฬนาดูร์ในปี 1991 จึงโดนหญิงสาวชาวทมิฬมาเกาะข้างเวทีแล้วจุดระเบิดพลีชีพ

ราชีพ คานธี ร่างแหลกเป็นจุณ

สงครามแบ่งแยกดินแดนในศรีลังกายาวนาน 30 ปี เป็น 30 ปีแห่งความสูญเสียและขมขื่น สิ้นสุดปี 2009

ศรีลังกาเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “ซีลอน” ที่อังกฤษตั้งให้ กลับมาใช้ชื่อเดิม “ศรีลังกา”

ผมเคยเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศเรื่อง “สหกรณ์ประมงในเอเชียใต้” ที่กรุงโคลอมโบ ศรีลังกา โดยสหกรณ์ประมงแห่งชาติศรีลังกาเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 2527

บินไปศรีลังกาคราวนั้นด้วยเครื่อง DC10 ของ SAS สมัยที่ยังบินร่วมกับ TG ยังจำได้ว่าเคยได้เที่ยวชมศรีลังกาจนทั่วทั้งอนุราธปุระ โปลอนนารูวะ แคนดี้ เมืองบนภูเขาแหล่งปลูกชาซีลอน แคนดี้เป็นเมืองประดิษฐานพระธาตุเขี้ยวแก้วที่สมัยนั้นไม่ยินยอมให้ผู้หญิงเข้าไปในตัวศาลา

ยังจำได้ถึงชายหาดสวยหน้าเมืองโคลอมโบและชายหาดสวยพร้อมหมู่บ้านประมงใต้เงามะพร้าวริมหาดที่เมืองนิกัมโบ

และที่ไม่เคยลืมเลือนคือรีเซปชั่นโรงแรมสาวลูกครึ่งสิงหลอังกฤษสวยมากๆ

เสร็จการประชุมคราวนั้น ผมเป็นหัวหน้าทัวร์นำเพื่อนชายร่วมทีมสามคนจากเมืองไทยนั่งแอร์ลังกาไปว้าวุ่นหัวใจบนเกาะของออสเตรเลียที่มัลดีฟส์ ที่ทั้งเกาะมีแต่สาวเปลือยอกนอนอาบแดด

ถือเป็นคนไทยรุ่นแรกๆ ที่ได้ไปเยือนมัลดีฟส์

กลับมาเขียนสารคดีท่องเที่ยวศรีลังกาและมัลดีฟส์ให้หนังสือ “แพรว” เป็นนักเขียนอิสระไทยคนแรกที่เขียนถึงมัลดีฟส์ หลังจากนักเขียนชื่อดัง เช่น “รงค์ วงษ์สวรรค์ ได้รับเชิญให้ไปเยือนแล้วกลับมาเขียนถึงให้

วันนี้ผมจึงรู้สึกสะเทือนใจที่เพื่อนเก่าชาวพุทธศรีลังกาถูกมุสลิมหัวรุนแรงทำร้ายรุนแรง ทั้งที่มิใช่คู่ขัดแย้งโดยตรง

บทเรียน “อีสเตอร์เลือดจากโคลอมโบ” ย้ำเตือนว่า

กรุงเทพฯ และชาวพุทธไทยไม่ใช่ข้อยกเว้น เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากประเทศเรามัวแต่ทะเลาะเบาะแว้งทางการเมืองไม่สิ้นสุด ไม่ระวังการข่าวกรองให้จงดี

เราอาจจะมีวันที่ต้องเสียใจเกิดขึ้น