เป็น ‘คนรุ่นใหม่’ อย่าเป็น ‘ตี๋กร่าง’/นงนุช สิงหเดชะ / บทความพิเศษ/

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

เป็น ‘คนรุ่นใหม่’

อย่าเป็น ‘ตี๋กร่าง’

 

ดูไปดูมาท่าจะ “ออกทะเล” เสียแล้วสำหรับคนหนุ่มที่ประกาศตัวว่าเป็นคนรุ่นใหม่ อย่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค

ประเด็นที่ทำให้ทั้งสองคนมีแนวโน้มจะเป็น “ตี๋กร่าง” มากกว่าจะเป็น “คนรุ่นใหม่” ก็สืบเนื่องมาจากกรณีที่มีผู้ไปร้องว่านายธนาธรอาจจะขาดคุณสมบัติในการสมัคร ส.ส. เพราะก่อนวันสมัครรับเลือกตั้งยังถือหุ้นในกิจการสื่อ อันเป็นลักษณะต้องห้าม

เรื่องนี้นายธนาธรโต้แย้งว่าได้โอนหุ้นให้มารดาตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม ในขณะที่ กกต.เปิดรับสมัคร ส.ส.ในวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ ดังนั้น ถือว่าเป็นไปตามกติกา ไม่ได้ขาดคุณสมบัติที่จะลงเลือกตั้ง

แต่ก็มีผู้โต้แย้งว่าวันโอนหุ้นควรนับจากวันที่มีการไปแจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วน (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์) ซึ่งปรากฏว่ามารดานายธนาธร ซึ่งเป็นผู้รับโอนหุ้น ได้ไปแจ้งการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นในวันที่ 21 มีนาคม หรือหลังจากวันรับสมัคร ส.ส.นั่นเอง

ประเด็นในขณะนี้จึงขึ้นกับการตีความว่าวันโอนหุ้นจะยึดถือเอาวันใด วันที่ 8 มกราคม ที่นายธนาธรอ้างว่าโอนให้มารดา หรือยึดเอาวันที่แจ้งต่อนายทะเบียน

ซึ่งบางกระแสเสียงบอกว่าการโอนให้มารดาเป็นการทำกันภายใน ไม่น่าเชื่อถือเพราะจะอุปโลกน์วันใดขึ้นมาก็ได้ แต่วันที่แจ้งต่อนายทะเบียนน่าเชื่อถือมากที่สุดเพราะเป็นเอกสารราชการ

 

แต่เรื่องของวันที่ 8 มกราคม ก็มีดราม่าหนักมาก เพราะถูกจับผิดยิ่งขึ้นไปอีก เนื่องจากมีหลักฐานว่า วันดังกล่าวนายธนาธรไปหาเสียงที่บุรีรัมย์ ไม่น่าจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยทางรถยนต์ได้ทัน แต่นายธนาธรยืนยันว่ากลับมาถึงกรุงเทพฯ ในช่วงบ่ายแก่ๆ พร้อมกับโชว์หลักฐานหลายอย่าง เช่น ใบสั่งหลายใบเพราะขับเร็วเกินกำหนด

แม้ในขั้นนี้นายธนาธรจะยืนยันว่ากลับมาโอนหุ้นทัน แต่ก็ยังมีข้อสงสัยต่อไปว่าทำไมต้องเร่งรีบขนาดนั้น จะโอนวันที่ 9 มกราคม หรือภายในสัปดาห์นั้นก็ยังทันถมเถ เพราะสัปดาห์นั้น 7-11 มกราคม เป็นวันทำการปกติต่อเนื่อง ไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์มาคั่นเลย

แม้นายปิยบุตรจะแก้ต่างแทนว่า ไม่แน่ใจว่าจะมีการประกาศ พ.ร.ฎ.เลือกตั้งวันไหน จึงต้องรีบดำเนินการโอนหุ้นให้เสร็จสิ้น แต่เหตุผลนี้ก็นับว่าค่อนข้างอ่อน เพราะถ้าไม่แน่ใจเรื่องนี้ ก็ควรดำเนินการให้เสร็จตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม หรือเช้าวันที่ 8 มกราคม ไม่ดีกว่าการกระหืดกระหอบกลับมาจากบุรีรัมย์ที่มีระยะทาง 400 ก.ม.หรือ

ยังไม่นับความซับซ้อนพิสดาร เรื่องโอนหุ้นให้แม่ แล้วยังมีการโอนต่อให้หลาน 2 คนแล้วก็โอนกลับมาให้แม่อีก ซึ่งเหตุผลที่อธิบายมาฟังไม่ค่อยขึ้น

นายธนาธรพร้อมด้วยนายปิยบุตร ซึ่งเป็นมือกฎหมายนำหลักฐานเป็นลังๆ ไปยื่นให้กับคณะกรรมการสืบสวนฯ ของ กกต.เมื่อปลายเดือนเมษายน ซึ่งประเด็นน่าสนใจในวันนั้นอยู่ตรงท่าทีและการให้สัมภาษณ์ของทั้งสองคน ที่น่าเป็นห่วงว่าลักษณะเช่นนี้ไม่น่าจะใช่ท่าทีของ “คนรุ่นใหม่” แต่เป็น “ตี๋กร่าง” เสียมากกว่า

นายธนาธรให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด มั่นใจว่าตนเองไม่ผิด รวมทั้งตั้งธงว่าเรื่องทั้งหมดนี้มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง จึงจะฟ้องทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดรวมทั้งสื่อ นอกจากนี้ยังให้สัมภาษณ์อ้างว่า กกต.ไม่สามารถตอบคำถามของตนได้เลยว่ามีความผิดอะไร

ซึ่งน้ำเสียงก็เป็นไปในทำนองข่มหรือดิสเครดิต กกต.

 

ทําให้ในวันต่อมา นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต. ออกมาตอบโต้ว่า หากนายธนาธรเชื่อว่ามีการเมืองอยู่เบื้องหลังก็ขอให้แสดงหลักฐานมา ส่วนที่นายธนาธรอ้างว่า กกต.ตอบคำถามไม่ได้ว่าผิดอะไรนั้น ได้แจ้งข้อหาไปแล้วว่าอาจขาดคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส. ส่วนการจะวินิจฉัยว่าผิดหรือไม่ขึ้นกับคณะกรรมการ กกต.ชุดใหญ่ ส่วนชุดที่นายธนาธรนำหลักฐานไปมอบให้ในวันนั้นเป็นเพียงคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ที่จะต้องส่งเรื่องให้ กกต.ชุดใหญ่อีกทอดหนึ่ง

ความผิดพลาดของนายธนาธรอยู่ตรงที่การให้สัมภาษณ์ในลักษณะฟันธงว่า มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง ซึ่งอาจสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ กกต.ฟ้องได้เช่นกัน รวมทั้งการอ้างว่า กกต.ตอบคำถามตัวเองไม่ได้ว่ามีความผิดอะไร ทั้งที่ความจริงแล้วในชั้นนี้ยังไม่ใช่ชั้นที่จะวินิจฉัยความผิด เป็นเพียงชั้นสืบสวน

ในฐานะประกาศตัวเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่เคารพกติกา นายธนาธรต้องพร้อมรับการตรวจสอบอย่างเข้มข้น ทุกซอกมุม เพื่อคัดกรองผู้ที่จะเข้าสู่การเมืองให้มีความโปร่งใส หากรับแรงกดดันทางการเมืองไม่ได้ ก็ไม่ควรเข้ามาเสียแต่แรก

ข้อหาถือครองหุ้นสื่อ แม้จะอ้างว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในเมื่อเป็นกติกาก็ต้องยอมรับ และเมื่อถูกตรวจสอบก็ไม่ควรโวยวายว่าถูกการเมืองเล่นงาน ถูกสกัดดาวรุ่ง หรือประกาศเอาเองว่าไม่ผิด ไม่ต่างจากการทำตัวเป็นรัฏฐาธิปัตย์อย่างหนึ่ง

ยิ่งเมื่อมีการพูดในทำนองว่า หากตัวเองถูกตัดสินว่ามีความผิด ก็ไม่รับประกันว่าจะมีประชาชนที่เลือกพรรคอนาคตใหม่ 6 ล้านกว่าคนจะออกมาประท้วงบนท้องถนนหรือไม่นั้น ก็ยิ่งน่าห่วงว่าในที่สุดการเมืองก็จะซ้ำรอยเดิม และทำให้ภาพเก่าๆ สมัยคุณทักษิณกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะมองดูแล้ว เริ่มมีวี่แววว่าธนาธรจะใช้วิธีเดียวกับคุณทักษิณ นั่นคือนำเอาคะแนนเสียงเหล่านี้มาเป็นเกราะปกป้องหรือกดดันองค์กรที่ทำหน้าที่ตัดสินความผิด

กลายเป็นว่าไม่ว่าวันนี้หรืออนาคต ธนาธรอาจจะกลายเป็นบุคคลที่แตะต้องไม่ได้ แตะเมื่อไหร่ก็จะอ้างว่าถูกการเมือง-อำมาตย์-อำนาจเผด็จการ เล่นงานเพราะป๊อปปูล่าร์มาก แบบเดียวกับทักษิณเป๊ะ

 

ลักษณะร่วมอย่างหนึ่งของธนาธรและทักษิณคือมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ถึงขั้นไม่ฟังใคร ซึ่งอาจเป็นเพราะประสบความสำเร็จทางธุรกิจมามาก

ความมั่นใจที่สูงมาก บางครั้งก็พาตัวเองเลยเถิดไปถึงขั้น “โม้” อย่างเช่น บอกว่าตัวเองเป็น “คนแรก” ในประเทศไทยที่ใช้ blind trust บริหารจัดการทรัพย์สินเพื่อแสดงความโปร่งใสในการเข้าสู่การเมือง ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะถูกอดีตรัฐมนตรีหลายคนพากันออกมาแสดงตนว่าพวกเขาทำสิ่งนี้มาก่อนธนาธรเป็นเวลานานแล้ว

ความมั่นใจสูงมักจะมาพร้อมกับความ “หลงตัวเอง” อย่างที่มีบางคนตั้งข้อสังเกตว่าหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคนี้เข้าข่ายคิดว่าตัวเองมีความสำคัญและยิ่งใหญ่มากในการเมืองไทยและอนาคตประเทศไทย ถ้าขาดพวกเขาไปแล้วประเทศจะล่มสลาย ไม่ต่างจากการคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะที่มีโลกเราเป็นเพียงส่วนหนึ่ง

โลกเรา (ดาวเคราะห์) นั้นอยู่ในระบบสุริยะ และระบบสุริยะนี้มีดวงอาทิตย์ (ดาวฤกษ์) เป็นศูนย์กลาง มนุษย์คนใดที่หลงคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางหรือเป็นดาวฤกษ์ทั้งที่อาศัยอยู่บนโลกที่ต้องพึ่งแสงสว่างจากดวงอาทิตย์

ก็น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย