วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร /เราอยู่ ก้นหุบเขา สิ้นไมตรี (190)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร

เราอยู่ ก้นหุบเขา สิ้นไมตรี (190)

 

ถามว่าเหตุปัจจัยอันใดทำให้เซียวเล้งนึ่งตัดสินใจเช่นนี้เมื่อ 16 ปีก่อน กิมย้งไขให้กระจ่างว่า ทั้ง 2 นั่งเคียงคู่บนก้อนหิน ถ่ายทอดบอกเหตุการณ์หลังพรากจาก เอี้ยก่วยถามนั่นถามนี่ไม่ขาดปาก เซียวเล้งนึ่งบ่งบอกอยู่ครู่หนึ่งค่อยพูดจาคล่องแคล่วกว่าเดิม

บอกเล่าเหตุแปรเปลี่ยนใน 16 ปีนี้ออกมา

วันนั้นเอี้ยก่วยโยนยาสิ้นไมตรีครึ่งเม็ดลงสู่ก้นหุบเหว เซียวเล้งนึ่งทราบว่า เอี้ยก่วยเห็นนางถูกพิษยากรักษา ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่เพียงลำพัง

ค่ำคืนนั้นนางทบทวนหวนนึกว่า

มีแต่นางตายก่อนจึงทำลายความคิดของเอี้ยก่วยค่อยมีหวังให้เอี้ยก่วยขจัดพิษดอกรักภายในกาย แต่หากแม้นนางเปิดเผยวี่แววว่าจะฆ่าตัวตาย รังแต่จะเร่งรัดให้เอี้ยก่วยตายก่อน

นางครุ่นคิดอยู่ครึ่งคืนจึงใช้ปลายกระบี่สลักข้อความบนผาไส้ขาด จงใจกำหนดนัดหมาย 16 ปี

จากนั้นค่อยกระโดดลงสู่ก้นหุบเหว ตอนนั้นนางเห็นว่า หากแม้นเอี้ยก่วยโชคดีมีชีวิตรอดหลังจากผ่านวันเวลาอันยาวนาน 16 ปี ต่อให้ยังคิดถึงนางไม่เลื่อมคลาย คงไม่ถึงกับพลีชีพบูชารักอีก

ฟังมาถึงตอนนี้เอี้ยก่วยต้องทอดถอนใจและกล่าวขึ้น

“ท่านไฉนนึกถึงระยะเวลา 16 ปี หากแม้นท่านกำหนดนัดเป็น 8 ปี พวกเราไยไม่สามารถพบกันก่อน 8 ปี”

 

เหตุผลจากเซียวเล้งนึ่งคือ “ข้าพเจ้าทราบว่าท่านบังเกิดความรักต่อข้าพเจ้าอย่างลึกล้ำ เวลาสั้นๆ 8 ปีไม่อาจชะล้างนิสัยอันร้อนแรงปานเปลวเพลิงของท่าน โอ คิดไม่ถึง แม้ห่างถึง 16 ปี ท่านยังคงกระโดดลงมา”

เอี้ยก่วยยิ้มอย่างพึงใจ

“แสดงว่าคนผู้หนึ่งยังคงมีความรักอย่างลึกล้ำประเสริฐกว่า หากแม้นความคิดถึงที่ข้าพเจ้ามีต่อท่านจืดจางเบาบาง เพียงคร่ำครวญหวนไห้อยู่บนผาลำไส้ขาดเที่ยวหนึ่งแล้วผละจากไป อย่างนี้พวกเราจะไม่ได้พบกันอีกตลอดกาล”

“ในห้วงจักรวาลอันเวิ้งว้างย่อมมีลิขิตของฟ้ากำหนดไว้” เป็นบทสรุปจากเซียวเล้งนึ่ง

ความน่าสนใจอยู่ที่เมื่อกระโดดลงในบึงน้ำ “ข้าพเจ้าในสภาพสติเลอะเลือนเมื่อลอยขึ้นก็ถูกกระแสน้ำพัดพาเข้าสู่ถ้ำน้ำแข็ง สถานที่นี้ไม่มีทวิชาติ จตุบาท แต่ภายในบึงมีสัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์ ผลไม้ที่ก้นหุบเหวรับประทานไม่หมด เพียงแต่ไม่มีแพรพรรณ ได้แต่ลอกเปลือกไม้มาจัดทำเป็นเสื้อผ้า”

ที่น่าสงสัยก็คือ เซียวเล้งนึ่งถูกพิษเข็มเงินน้ำแข็งเย็น เหตุใดจึงรอดมีชีวิตมาถึง 16 ปี

 

ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ที่นี่หลายวันพิษภายในกายก็กำเริบ ตลอดทั้งร่างร้อนลวก ศีรษะปวดแทบระเบิด ไม่อาจทนทานต่อไป

หวนนึกถึงค่ำคืนเข้าหอในสุสานโบราณ

ท่านสอนให้ข้าพเจ้านั่งบนเตียงหยกเย็นโคจรพลังย้อนกลับ แม้ไม่สามารถขจัดพิษแต่ก็บรรเทาอาการอึดอัดขัดข้องทุกข์ทรมานได้ ก้นบึงที่นี้ผนึกจากน้ำแข็งหมื่นปีมีความเย็นเสียดกระดูกเช่นกัน ดังนั้น ข้าพเจ้าดำน้ำกลับถ้ำน้ำแข็ง

เมื่ออาศัยอยู่ที่นั่นระยะเวลาหนึ่งกลับบังเกิดผลอยู่บ้าง

หลังจากนั้นข้าพเจ้ามักกลับไปริมบึงน้ำ มีอยู่วันหนึ่งเห็นท่ามกลางเมฆหมอกที่ปกคลุมหุบเหวมีผึ้งหยกหลายตัวโบยบินลงมา

นั่นย่อมเป็นผึ้งที่เฒ่าทารกนำมาเล่นที่หุบเขาสิ้นไมตรีแล้วทิ้งเอาไว้ ข้าพเจ้าคล้ายพบเห็นเพื่อนเก่า จัดแจงสร้างรวงรังให้ผึ้งอยู่อาศัย ภายหลังผึ้งหยกยิ่งมายิ่งมาก ข้าพเจ้ารับประทานน้ำผึ้งบวกกับปลาขาวที่มีอยู่ในบึงรู้สึกว่าอาการเจ็บปวดทุเลาลง

คิดไม่ถึงว่าน้ำผึ้งของผึ้งหยกผสมกับปลาขาวของบึงน้ำเย็น กลับเป็นโอสถทิพย์ในการขจัดพิษ

ดังนั้น รับประทานระยะยาวจำนวนครั้งของพิษกำเริบก็ยืดยาวออกไปทีละน้อย ตอนแรกทุกวันกำเริบครั้งสองครั้ง หลังจากนั้นทุกหลายวันกำเริบ 1 ครั้ง จวบกระทั่งหลายเดือนกำเริบ 1 ครา

5-6 ปีที่ผ่านกลับไม่กำเริบแม้สักครั้งเดียว คาดว่าทุเลาหายดีแล้ว

ข้าพเจ้าพอมีสภาพร่างกายดีขึ้น จิตใจคิดถึงท่านยิ่ง ดังนั้น ข้าพเจ้าใช้หนามเล็กละเอียดบนต้นไม้ดอกปักอักษรคำ

“เราอยู่ก้นหุบเขาสิ้นไมตรี” บนปีกผึ้ง

ภาวนาให้ผึ้งหยกพอบินขึ้นไปถูกผู้คนพบเห็น หลายปีมานี้ข้าพเจ้าปักข้อความบนปีกผึ้งหลายพันตัวแต่ไม่มีคำตอบกลับมาแม้แต่น้อย ผ่านไปปีแล้วปีเล่าข้าพเจ้ายิ่งมายิ่งท้อใจ

ดูท่าชั่วชีวิตนี้ไม่อาจพบหน้าท่านอีกแล้ว

 

บทสรุปของเอี้ยก่วยที่ว่า “ครั้งกระโน้นหากมิใช่ท่านกำนัลผึ้งหยกให้แก่เฒ่าทารก เขาไม่อาจพกน้ำผึ้งมายังหุบเขาสิ้นไมตรี โรคภัยของท่านก็ไม่อาจรักษาทุเลา”

ไม่เพียงตรงกับบุญกุศลที่กระทำลงไป

หากยิ่งกว่านั้น ด้วยการสลักอักษรลงไปบนปีกของผึ้งหยกนั้นเอง ทำให้ไม่เพียงแต่จิวแป๊ะทงจะรับรู้ หากแต่อึ้งย้งยิ่งมองกระจ่าง

ในที่สุดก็นำพาให้คนเหล่านั้นล้วนมุ่งหน้ามายังหุบผาลำไส้ขาด แห่งหุบเขาสิ้นไมตรี