ใครที่เป็นแฟนกีฬาตัวยง ใครที่ติดตามกีฬายิงปืนของเมืองไทยมาอย่างต่อเนื่องจะทราบดีว่าสมาคมกีฬายิงปืนแห่งประเทศไทยฯ หมักหมมปัญหาพร้อมกับซ่อนขยะไว้ใต้พรมมาอย่างยาวนาน

สมาคมกีฬายิงปืนฯ เป็นสมาคมกีฬา “แห่งประเทศไทย” อันดับต้นๆ ที่ถึงเวลาแล้วต้องได้รับการเยียวยา ได้รับการแก้ไขปัญหาสุดคลาสสิค ปัญหาอมตะที่มีมายาวนานกว่าทศวรรษ…!!!

ต้นตอปัญหาของสมาคมกีฬายิงปืนฯ ของไทยที่ทำให้ฉุดรั้งการพัฒนานักกีฬาไม่เต็มประสิทธิภาพในทิศทางที่ควรจะเป็น นั่นคือปัญหาการแย่งชิงอำนาจการบริหารงาน หน้ามืดตามัวเห็นผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ มากกว่าผลประโยชน์ของนักกีฬา

ตัวนักกีฬาเอง ตัวผู้ปกครองนักกีฬา ตัวทีมงานคณะกรรมการบริหารสมาคมแตกแยกขาดความสามัคคี แตกก๊ก แตกเหล่า เพราะอะไรนั่นหรือ เดากันคงไม่ยาก มันคือผลประโยชน์ที่จะกอบโกยจากสมาคมกีฬายิงปืนฯ ชนิดมากมายมหาศาล เสมือนอีกขุมทรัพย์ของวงการกีฬา

เพียงแต่เป็นขุมทรัพย์ใต้ดินของบรรดาขาใหญ่ ที่ปกครองสมาคม บริหารสมาคม กุมอำนาจในสมาคม ใช้อำนาจบริหารงานไล่บี้ไล่ทำลายล้างขั้วตรงข้ามไม่ให้มีที่ยืนในสังคมยิงปืน…

 

ก่อนที่จะมีปัญหาเรื้อรังจนพัฒนากลายเป็นมะเร็งร้ายยากเกินเยียวยานั้น ย้อนไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ในสมัยที่ปองพล อดิเรกสาร เป็นนายกสมาคมอยู่หลายสมัย แต่การบริหารงานกลับไม่เป็นที่ถูกอกถูกใจบรรดานักกีฬาขาใหญ่ในยุคนั้น เพราะปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงนักกีฬา ปัญหาเรื่องกระสุนในการฝึกซ้อมไม่เพียงพอ ปัญหาส่วนต่างของกระสุนที่เบิกจ่ายภาครัฐกับกระสุนที่นำมาใช้จริง ทำให้นักกีฬารวมตัวผนึกกำลังกับกรรมการบริหารบางคนก่อการปฏิวัติภายใน

เรื่องราวลุกลามบานปลายจนไปฟ้องร้องทั้งศาลอาญา ศาลแพ่ง ศาลปกครองกันอีนุงตุงนัง เรียกว่าฟ้องกันจนคนกีฬาเอือมระอา ซึ่งนั่นก็เป็นโมเดลที่มาการต่อสู้กันมายาวนานเป็น 10 ปีจนถึงยุคนี้สมัยนี้อีกด้วยเช่นกัน

หลังจากวัดพลังต่อสู้เชิงกฎหมายกันมาหลายปี “ปองพล อดิเรกสาร” อดีตนักการเมืองรุ่นใหญ่รำคาญที่จะทะเลาะกันเพื่อแย่งอำนาจการบริหาร จึงตัดสินใจโบกมือลาวงการไป ปล่อยให้ขบวนการที่เหลือแย่งชิงอำนาจกันต่อไป

เมื่อผู้เป็นหัวในเวลานั้นไม่อยู่แล้ว พวกลำตัวหรือส่วนหางก็เดินเกมคิดการใหญ่เข้ามากินรวบสมาคมกีฬายิงปืนฯ แย่งชิงอำนาจการบริหารงานกันอย่างดุเดือด

ไม่เว้นแม้แต่นักกีฬารุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก ก็กล้าที่จะขอลงสนามวัดพลังกับบรรดาอดีตนายตำรวจใหญ่ นายใหญ่ๆ

บรรดาลิ่วล้อนักการเมืองที่ถูกส่งเข้ามาในสมาคมจากการบริหารงานทางการเมืองตามแต่ยุคตามแต่สมัย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันจนนับแทบไม่ถูกว่า ใครกันบ้างที่เคยเข้ามาสัมผัส เข้ามารับรู้ถึงความปั่นป่วนวุ่นวายในสมาคม

ปัญหาใหญ่ๆ ของสมาคมกีฬายิงปืนฯ จะอยู่ที่อำนาจการบริหารงานอยู่ในมือใคร คนนั้นจะเป็นคนคุมทั้งกระสุนในการฝึกซ้อมของนักกีฬาที่อยู่ระหว่างการเตรียมนักกีฬาตามแผนงานที่ส่งให้กับการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ในฐานะหน่วยงานของรัฐที่กำกับดูแลสมาคมกีฬา และดูแลเรื่องการเตรียมนักกีฬาไทย โดยเฉพาะเรื่องของเบี้ยเลี้ยงนักกีฬา

ซีเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์, โอลิมปิกเกมส์, ชิงแชมป์เอเชีย, เวิลด์คัพ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเกมหาผลประโยชน์ของบรรดาผู้บริหารสมาคมจนไม่มีใครยอมใคร…

 

ยิงปืนมีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง นักกีฬามักจะไม่ค่อยถูกกับฝ่ายบริหารของสมาคมไม่ว่าจะยุคไหน สมัยไหน เพราะความต้องการของนักกีฬา ผลประโยชน์ของนักกีฬาที่พวกเขาต้องรักษาสิทธิ กับทีมงานบริหารสมาคมที่เวลาเจรจากับนักกีฬามักจะไม่ใช้ความจริงใจ แต่ดันเลือกจะเอาเรื่องของผลประโยชน์มาวางไว้บนโต๊ะเพื่อเจรจา

นั่นทำให้นักกีฬากับทีมงานบริหารไปกันคนละทิศคนละทาง…

เมื่อคุยกันไม่รู้เรื่อง วิธีแก้ไขของ กกท.ในห้วงเวลาที่ผ่านมาก็ทำแบบมักง่าย ด้วยวิธีการเมื่อถึงเวลาเตรียมนักกีฬา 7-8 เดือนตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) นักกีฬาแต่ละคนเฉลี่ยซ้อมวันละ 500 นัด นักกีฬาทีมใหญ่ๆ ต้องมี 50 กว่าคน ก่อนตัดตัวส่งแข่ง 30 กว่าคน

ลองคิดดูเล่นๆ ว่า นักกีฬา 1 คนยิงซ้อม 500 นัดต่อวัน 50 กว่าคนกี่นัด? นัดละกี่บาท เอากระสุนที่ถูกกฎหมาย ซื้อขายผ่านเกณฑ์ราคากลางที่ผ่านการอนุมัติจากกระทรวงการคลัง…นะ

อย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องปืน เรื่องกระสุนใต้ดินที่ผิดกฎหมาย…

รวมไปถึงการยกระดับพัฒนาเป็นขาใหญ่ การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศอีกเพียบที่รอวันสะสางปัญหา…!!!

กกท.ใช้วิธีตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 1 ชุดเพื่อรับผิดชอบเตรียมนักกีฬา คัดเลือกนักกีฬาไปแข่งขัน โดยไม่ให้ผู้บริหารสมาคมในยุคนั้นๆ เกี่ยวข้องเพราะไม่เชื่อว่าจะโปร่งใส ทั้งเรื่องกระสุน ทั้งเรื่องเบี้ยเลี้ยงการฝึกซ้อมของนักกีฬา

แต่ กกท.ที่รู้ทั้งรู้ว่าปัญหาสมาคมมันติดเชื้อเรื้อรังต้องได้รับการผ่าตัดใหญ่เป็นการเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปผ่าตัด เพราะไม่อยากเข้าไปพัวพันโดนฟ้องร้อง ทั้งที่อำนาจและสิทธิอยู่ในมือ

เมื่อสมาคมกีฬา” “แห่งประเทศไทย” มีปัญหายุ่งเหยิงไม่สามารถบริหารงานอย่างราบรื่นได้

กกท.ในฐานะหน่วยงานปกครองมีอำนาจเข้าไปสะสาง หรือเรียกกันง่ายๆ เข้าไปเทกโอเวอร์ หรือประกาศถอดคำว่า “แห่งประเทศไทย” ออก แล้วชำระล้างบ้านใหม่สมาคมยิงปืนฯ ให้สะอาด นำขยะใต้พรมที่หมักหมมออกมาชำระสะสางตามกระบวนการของกฎหมาย แก้ไขข้อบังคับใหม่ เปิดรับสมัครสโมสรสมาชิกใหม่ จัดประชุมใหญ่วิสามัญเลือกตั้งนายกสมาคมและคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ รับรองการจดทะเบียนเพื่อคืนอำนาจการบริหารให้สมาคมตามวิถีประชาธิปไตย

เหมือนที่เคยทำกับสมาคมกีฬาบาสเกตบอลฯ สมาคมกีฬาแบดมินตัน เท่านั้นก็น่าจะสะสางปัญหาได้ ถ้ากล้าเข้าไป แค่ไม่ต้องกลัวอำนาจมืดอิทธิพลเถื่อนของใครจะมากดดัน แค่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง

ถือเป็นข่าวดีเมื่อ “บิ๊กป้อม” “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี เอ่ยปากส่ง “บิ๊กแป๊ะ” “พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เข้ามาสะสางปัญหาสมาคมกีฬายิงปืนฯ ให้สะเด็ดน้ำ

เพราะจะได้จบมหากาพย์ขัดแย้งภายในสมาคม

 

เริ่มต้นกันใหม่เพื่อร่วมกันกอบกู้ศักดิ์ศรีนักกีฬายิงปืนไทยที่เคยเป็นสมาคมกีฬาหลักในการโกยเหรียญรางวัลให้ทัพนักกีฬาไทยทุกมหกรรมจะได้กลับมาโดดเด่นเหมือนเช่นเคย

“บิ๊กก้อง” “ก้องศักด ยอดมณี” ผู้ว่าการ กกท. เล่าให้ฟังว่า กกท.ได้เชิญ “พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” ผบ.ตร. มาเป็นประธานคณะอนุกรรมการคัดเลือกนักกีฬาทีมชาติไทย เพื่อเข้าร่วมแข่งขันรายการระดับนานาชาติ ซึ่ง ผบ.ตร.มีความยินดีที่จะมาทำหน้าที่ดังกล่าว โดย ผบ.ตร.จะเข้ามาช่วยดูการคัดเลือกนักกีฬายิงปืน โปรแกรมการแข่งขันว่าจะส่งแข่งรายการใดบ้าง รวมไปถึงเบี้ยเลี้ยงแข่งขัน เบี้ยเลี้ยงฝึกซ้อม เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการพัฒนานักยิงปืนทีมชาติไทยไปได้ก่อน โดยเฉพาะเกมแข่งขันเฉพาะหน้าอย่างซีเกมส์และโอลิมปิกเกมส์

“บิ๊กก้อง” กล่าวต่อว่า ส่วนปัญหาภายในสมาคม กกท.กำลังดูข้อกฎหมาย เมื่อใดก็ตามสมาคมเกิดความวุ่นวายถึงจุดที่กฎหมายให้อำนาจพนักงานรัฐอย่าง กกท. แทรกแซงเข้าไปได้ก็จะดำเนินการทันที

ปัญหายิงปืนไทย ถ้าไม่แก้ไขในยุคนี้ ถ้าไม่จัดการกับพวกตัว” “เหลือบ” ที่แอบแฝงดูดเลือดสมาคมอย่างไม่ลืมหูลืมตาอยู่แล้วนั้น

ยุคต่อๆ ไป นักยิงปืนไทยในรุ่นลูกรุ่นหลานของประเทศไทย คงยากที่จะฟื้นกลับมาทวงคืนความสำเร็จ…

นี่จึงเป็นภารกิจพิสูจน์น้ำยา เป็นภารกิจพิสูจน์กึ๋นของทั้งผู้ว่าการ กกท. และ ผบ.ตร.

ว่าจะล้างบางสะสางปัญหาและกอบกู้ศักดิ์ศรีวงการยิงปืนไทยกลับมาได้หรือไม่…

เดอะ โชว์ มัสต์ โก ออน…