วุฒิสภายุคประยุทธ์จะทำประเทศเสียหายกว่า “สภาผัวเมีย” | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

การเลือกตั้งคือองค์ประกอบหลักของสังคมประชาธิปไตย แต่ในสังคมที่ถูกยัดเยียดให้ถอยหลังสู่วิถีทางที่ผิดปกติมาอย่างต่อเนื่อง การเลือกตั้งกลายเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาเป็นผิดปกติ ส่วนระบบการเมืองและผู้มีอำนาจที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งคือวิถีทางธรรมดาของสังคม

ในช่วงไม่กี่ปี่ที่ผ่านมา ประชาชนชุมนุมเรียกร้องให้มีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ในปี 2553 จนมีผู้เสียชีวิตกว่าหนึ่งร้อยชีวิต ส่วนประชาชนยี่สิบกว่าล้านก็ปกป้องการเลือกตั้งจากการล้มล้างของ กปปส.ในปี 2557 ถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะยกเลิกผลเลือกตั้งโดยอ้างว่า กกต.ไม่ได้จัดเลือกตั้งทุกหน่วยพร้อมกันก็ตาม

ในยุค คสช.นั้น คนจำนวนมากติดคุกหรือโดนคดีเพราะต่อสู้ให้เผด็จการทหารคืนอำนาจที่ยึดไปคั้งแต่ห้าปีก่อนอย่างต่อเนื่อง การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม จึงเป็นผลของการต่อสู้อย่างสันติของประชาชนจนหัวหน้า คสช.เบี้ยวเลือกตั้งอีกไม่ได้ ทำได้อย่างมากก็แค่หาทางใช้การเลือกตั้งเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

ภาพประชาชนเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อใช้สิทธิเลือกตั้งที่มาเลเซียคือหลักฐานว่าประชาชนรอเลือกตั้งเพียงใด และยิ่งเมื่อวันเลือกตั้งล่วงหน้ามาถึง การจราจรที่ติดขัดทุกหน่วยเลือกตั้งยิ่งยืนยันว่าคนไทยต้องการกำหนดอนาคตประเทศมากกว่าที่ คสช.คิด เช่นเดียวกับความตื่นตัวของคนทุกกลุ่มในวันที่ 24 มีนาคม

จากเช้าจรดค่ำของวันที่ 24 มีนา ความรู้สึกร่วมของคนทั้งประเทศคือเราทุกคนมี ๑ เสียงเท่ากันจนการเลือกตั้งคือวิธีตั้งรัฐบาลที่ดีที่สุด ความภาคภูมิใจในความเป็นประชาชนทำให้ทุกคนเชื่อว่าเราจะเป็นเจ้าของประเทศยิ่งขึ้นด้วยวิธีนี้ หรืออย่างน้อยก็เป็นมากกว่าห้าปียุคคสช.ที่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ถูกย่ำยีให้ต่ำลง

อย่างไรก็ดี กระบวนการหลายอย่างในช่วงหลังเลือกตั้งกำลังทำลายความหวังของประชาชนไปแทบหมดสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการประกาศผลเลือกตั้งล่าช้า, วิธีคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อจนพรรคเล็กได้เข้าสภาไปเลือกพลเอกประยุทธ์ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดทำให้ประชาชนรู้สึกว่าการเลือกตั้งเป็นคนละเรื่องกับการได้มาซึ่งรัฐบาล

ยิ่งการเลือกตั้งล่วงไป ความหวังของประชาชนที่จะกำหนดชะตากรรมของประเทศก็ยิ่งเลือนหายไปเรื่อยๆ ความรู้สึกที่ก่อตัวมากขึ้นคือประเทศนี้อยู่ภายใต้การปกครองของคนหยิบมือเดียว ส่วนการเลือกตั้งถูกย่ำยีให้เป็นแค่พิธีกรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมในการยึดครองอำนาจเท่านั้นเอง

ล่าสุด รายชื่อวุฒิสมาชิกที่พล.อ.ประวิตร นำเสนอคนตัดสินใจขั้นสุดท้ายอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยิ่งทำให้ประเทศเสียโอกาสได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชนขึ้นไปอีก เพราะวุฒิสมาชิกมีอำนาจเลือกนายกเท่า ส.ส.ที่ประชาชนเลือก แต่ผู้ชิงตำแหน่งนายกคือคุณประยุทธ์ซึ่งเป็นคนตั้งวุฒิสมาชิกชุดนี้เข้ามา

ต่อให้ไม่ใช้ความรู้อะไรเลย วิธีได้มาซึ่งวุฒิสมาชิกก็ประจานระบอบที่ผู้มีอำนาจตั้งตัวเป็นใหญ่เหนือแผ่นดินอย่างที่สุด เพราะพลเอกประยุทธ์ตั้งวุฒิสมาชิก 250 คน ซึ่งมีจำนวนเท่ากับครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 51.4 ล้าน แปลว่าคุณประยุทธ์คนเดียวมีเสียงเท่าคนไทย 25.7 ล้านคน

ที่มาของวุฒิสมาชิกแบบนี้แสดงพฤติกรรมรวบอำนาจของหัวหน้าคสช.ซึ่งไม่เคยปรากฎในหัวหน้าคณะรัฐประหารชุดใด เพราะถึงแม้คณะรัฐประหารหลายชุดจะตั้งวุฒิสภามาเป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจ แต่คณะรัฐประหารชุดก่อนพลเอกประยุทธ์ก็ไม่ทำถึงขั้นตั้งวุฒิสมาชิกไปเลือกตัวเองเป็นนายกอีกที

ในช่วงที่ประชาธิปไตยเพื่องฟูและเผด็จการถดถอยจนไม่กล้าขวางประชาชนจากการร่างรัฐธรรมนูญ รัฐ-
ธรรมนูญที่ประชาชนเขียนในปี 2540 กำหนดให้วุฒิสมาชิกมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด แต่เมื่อ พล.อ.สนธิ รัฐประหารปี 2549 รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ถูกฉีกทิ้งแล้วแทนที่ด้วยรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งต่างจากเดิมสิ้นเชิง

ขณะที่วุฒิสมาชิกปี 2540 สะท้อนระบอบการปกครองที่ประชาชนเป็นใหญ่จนเลือกวุฒิสมาชิกได้โดยตรง วุฒิสมาชิกปี 2550 ก็สะท้อนว่าเผด็จการทหารทำลายอำนาจประชาชนข้อนี้ไปเกือบครึ่ง เพราะวุฒิสภาจากการเลือกตั้งถูกล้มล้างแล้วแทนที่ด้วยวุฒิสมาชิกจากการเลือกตั้งทุกจังหวัด 76 คนและจากแต่งตั้ง 74 คน

วุฒิสภาจากการแต่งตั้งเป็นสัญลักษณ์ของการแย่งอำนาจประชาชนโดยระบบเผด็จการ แต่เมื่อเปรียบเทียบวุฒิสภาสูตรพลเอกประยุทธ์กับคณะรัฐประหารในอดีต สิ่งที่พลเอกประยุทธ์ทำลงไปนั้นไม่เคยมีผู้นำเผด็จการคนไหนทมาก่อน เพราะพลเอกสนธิไม่ทำถึงขั้นให้วุฒิสมาชิกทุกคนมาจากการแต่งตั้งของตัวเอง

วุฒิสมาชิกปี 2562 สะท้อนระบอบที่คุณประยุทธ์เป็นใหญ่จนวุฒิสภามาจากการแต่งตั้งอย่างเต็มรูปแบบและคุณประยุทธ์อยากให้ใครเป็นวุฒิสภาก็ทำได้ตามใจชอบโดยสมบูรณ์ ส่วนวุฒิสภาปี 2550 กลุ่มที่มาจากการแต่งตั้งนั้นมีผู้คัดเลือกคือที่ประชุมของประธานศาลและองค์กรอิสระหลายองค์กร

พล.อ.ประยุทธ์อ้างว่าตัวเองมีอำนาจกว่าทุกคนเพราะรัฐธรรมนูญ แต่คนตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญคือคุณประยุทธ์ ส่วนบทบัญญัติที่ให้คุณประยุทธ์ตั้งวุฒิสมาชิกก็มาจาก สนช.ซึ่งตั้งโดยคุณประยุทธ์เองอีก รัฐธรรมนูญที่ให้คุณประยุทธ์มีอำนาจตั้งวุฒิสมาชิกจึงมีเงาทะมึนของคุณประยุทธ์อยู่เบื้องหลังตลอดเวลา

คุณประยุทธมักโจมตีวุฒิสมาชิกจากการเลือกตั้งว่าเป็น “สภาผัวเมีย” จนไม่เกิดการตรวจสอบและถ่วงดุล แต่การเขียนกฎหมายให้คุณประยุทธ์ตั้งวุฒิสมาชิกทั้งสภาจะทำให้เกิดระบบ “ลูกสมุน” ที่ไม่มีวันตรวจสอบคุณประยุทธ์อย่างที่สุด สภาจึงทำได้แค่ลงโทษนักการเมืองหรือเลือกคุณประยุทธ์เป็นนายกตลอดกาล

ต่อให้เชื่อโดยสุจริตใจว่าวุฒิสภาจากการแต่งตั้งดี การให้คุณประยุทธ์ตั้งวุฒิสมาชิกเพียงคนเดียวคือวิธีที่เลวที่สุด เพราะรัฐธรรมนูญ 2550 ยังระบุให้วุฒิสภากลุ่มนี้มาจากที่ประชุมของประธานศาลรัฐธรรมนูญ, ตุลาการศาลปกครองสูงสุด, ผู้พิพากษาซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือก ฯลฯ ไม่ใช่นายพลคนเดียวตั้งทั้งสภา

นอกจากวุฒิสภาชุดนี้จะแสดงระบบเอกาธิปไตยที่นายพลมีสภาเป็นของตัวเอง คุณประยุทธ์ยังเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารคนแรกที่จัดทำรัฐธรรมนูญแล้วตั้งวุฒิสมาชิกไปเลือกตัวเองเป็นนายก เพราะแม้ประเทศในยุคเผด็จการจะเคยให้วุฒิสภาทำแบบนี้ได้ แต่ไม่เคยมีคณะรัฐประหารชุดไหนทำแบบที่คุณประยุทธ์ทำ

พล.อ.เกรียงศักดิ์ เป็นนายพลคนแรกที่ได้เป็นนายกเพราะวุฒิสภาในปี 2522 แต่รัฐธรรมนูญที่ให้วุฒิสภามีอำนาจนี้มาจากรัฐประหารปี 2520 ซึ่งคุณเกรียงศักดิ์ไม่ใช่หัวหน้าและไม่ใช่คนเลือกวุฒิสภาทั้งหมด วุฒิสภาปี 62จึงเป็นผลของอำนาจที่ลงต่ำสู่อเวจีแห่งระบอบเผด็จการที่ไม่มีผู้นำทหารคนไหนทำมาเลย

อนึ่ง ในระบอบเผด็จการที่ใกล้ตัวขึ้นมาอีกอย่างการยึดอำนาจปี 2534 ก็ไม่ได้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญที่วุฒิสภามีอำนาจเลือกนายก พล.อ.สุจินดาจึงไม่ได้เป็นนายกในปี 2535 เพราะตั้งวุฒิสมาชิกไปเลือกตัวเองแบบคุณประยุทธ์ปี 2562 แต่เพราะตั้งพรรคทหารไปกวาดต้อนส.ส.แล้วจัดฉากให้พรรคเชิญตัวเองเข้ามา

พล.อ.ประยุทธ์ ชอบอ้างว่าหลายประเทศมีวุฒิสภา แม้กระทั่งตอนไปอังกฤษก็อ้างว่าอังกฤษมีวุฒิสภาจากการแต่งตั้งเป็นร้อยปีแล้ว แต่วุฒิสภาประเทศอื่นไม่ได้มาจากคณะรัฐประหาร, ไม่ได้มีอำนาจเลือกนายก, รวมทั้งไม่ใช่กลไกสืบทอดอำนาจแบบที่คุณประยุทธ์ตั้งวุฒิสมาชิกทั้งสภาไปเลือกตัวเองเป็นนายกอีกที

ตามกติกาที่คุณประยุทธ์อำนวยการจนวุฒิสมาชิกเลือกนายกได้ ทันทีที่มีการประชุมรัฐสภา วุฒิสมาชิกจะเป็นเสมือนพรรคการเมืองที่มี ส.ส.250 คน เพื่อเลือกคุณประยุทธ์เป็นนายกโดยเด็ดขาด วุฒิสภาแบบนี้จึงเป็นอุปสรรคของการตั้งรัฐบาลจากพรรคที่ประชาชนไว้วางใจมากที่สุดหรือได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทน

เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ วุฒิสภาเป็นตัวถ่วงให้ประเทศหลังเลือกตั้งรวนเรไปหมด พรรคแพ้เลือกตั้งเตรียมรวมเสียงกับวุฒิสภาเพื่อเลือกคุณประยุทธ์เป็นนายก พรรคที่ชนะเลือกตั้งอาจตั้งนายกและรัฐบาลไม่ได้ วุฒิสภาจึงเป็นพื้นฐานของการสืบทอดอำนาจในเวลาที่คนส่วนใหญ่ไม่ให้คุณประยุทธ์เป็นนายกต่อไป

แม้แต่เด็กประถมยังรู้ว่านายกควรมาจากคนที่ได้ความยอมรับจากประชาชน แต่วิธีที่เข้าสู่อำนาจแบบนี้เป็นหลักฐานของความไม่ยอมรับชัดเจนอยู่แล้ว อดีตนายกที่มีปัญหานี้บางคนถึงกับถูกเรียกว่า “รัฐบาลยี้” จนมีคนด่าทันทีที่รายการวิทยุให้แสดงความเห็น และนั่นอาจเป็นอนาคตที่ผู้มีอำนาจด้วยวิถีทางนี้ต้องเจอ

นอกจากวุฒิสมาชิกจะมีปัญหาเรื่องที่มาและอำนาจซึ่งทำให้ระบบการเมืองของประเทศวุ่นวาย องค์ประกอบของวุฒิสมาชิกที่สื่อเผยแพร่ก็ทำให้สังคมไม่พอใจขึ้นไปอีก เหตุผลคือ “โผ” ระบุว่าคุณประยุทธ์ตั้งวุฒิสมาชิกหลายรายจากนายพลที่ร่วมรัฐประหารจนได้เป็นรัฐมนตรี รวมทั้งพลเรือนที่เป็นพวกเดียวกัน

ถ้ายอมรับว่า “โผ” เป็นหลักฐานของการตั้งพวกพ้องไปเลือกนายก ข่าวที่ปรากฎก่อนประกาศชื่อวุฒิสมาชิกอย่างเป็นทางการคือรัฐมนตรีและสนช.“แห่” ลาออกเพื่อไปดำรงตำแหน่งนี้นานแล้ว ผลที่ข่าวนี้่มีต่อคนจำนวนมากคือตำแหน่งสาธารณะถูกจัดสรรให้คนเครือข่ายแคบๆ ราว “เก้าอี้ดนตรี” จนไม่สมควร

เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ การลาออกของรัฐมนตรีเพื่อไปเป็นวุฒิสภาก็ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าคุณประยุทธ์จัดสรรตำแหน่งนี้ให้พวกพ้องมากอยู่แล้ว ข่าวการแจกตำแหน่งให้สนช.และพลังประชารัฐกลุ่มสอบตกยิ่งทำให้ความรู้สึกนี้รุนแรงขึ้นไปอีก และที่ร้ายแรงที่สุดคือคุณประยุทธ์ตั้งน้องเพื่อเลือกตัวเองเป็นนายกอีกที

ในเงื่อนไขของการเป็นนายกโดยคนส่วนใหญ่ออกเสียงไปอีกทาง สิ่งสุดท้ายที่พลเอกประยุทธ์ควรทำคือการเผยให้สังคมเห็นว่าการปูนบำเหน็จให้พวกพ้องคือที่มาของตำแหน่งนายกครั้งนี้ เพราะในเมื่อเป็นนายกโดยเสียงส่วนใหญ่ไม่ได้ ก็ไม่ควรทำให้คนประจักษ์ว่าเป็นจากการตั้งกันเองของพวกพ้องและบริวาร

ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยมักโจมตีวุฒิสภาจากการเลือกตั้งว่าไม่ตรวจสอบและถ่วงดุลรัฐบาล ข้อครหาเรื่อง “สภาผัวเมีย” แพร่หลายเพราะคนรู้สึกว่าเลี้ยงวุฒิสภาแบบนี้เสียข้าวสุก แต่วุฒิสภาที่คุณประยุทธ์แต่งตั้งนั้นไม่มีทางตรวจสอบคุณประยุทธ์ไปได้ วุฒิสภาลักษณะนี้จึงเลวร้ายจน “สภาผัวเมีย” เป็นเรื่องเด็กเล่นโดยปริยาย

ห้าปีของรัฐบาลทหารทำให้การเมืองไทยถอยหลังไปหลายปี และวุฒิสมาชิกที่คุณประยุทธ์ตั้งคนในเครือข่ายเพื่อเลือกตัวเองเป็นนายกจะยิ่งทำให้การเมืองไทยเสื่อมถอยลงไปอีก สภาพแบบนี้ถอยหลังคงคลองกว่า “สภาผัวเมีย” เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือ “สภาพวกพ้อง” หรือ “สภาลูกสมุน” ที่ไม่มีหลักประกันว่าทำเพื่อประชาชน