การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ มีเพียงท้องฟ้ากระจ่างใสในนั้น

[ข้อเท็จจริงก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าดวงอาทิตย์มาจากแห่งหนใด(1)]

ดวงอาทิตย์สีส้มกลมโตลอยขึ้นอย่างช้าเชือน จนกระทั่งผ่านพ้นภูเขาเบื้องหน้า ท้องฟ้าค่อยๆ เรื่อเรืองขึ้นด้วยเช่นกัน จากสีสันที่แต้มแต่ง

เรากำลังจะผ่านฤดูแล้งอีกครั้งหนึ่ง ฤดูฝนกำลังจะมาถึง และตลอดทั้งหมู่บ้านก็เต็มไปด้วยร่องรอยของการผ่าน…ของกาลเวลา

หากขี่จักรยานกลับจากตลาดในตัวอำเภอ ฉันจะยังเห็นช่อดอกคูนเหลืองระย้าค้างตามปลายกิ่ง เช่นเดียวกับตะแบก อินทนิล กัลปพฤกษ์ หางนกยูงฝรั่ง ต่างก็ยังมีดอกประดับบนต้น ทว่าถ้ามองยังพื้นดิน กอหญ้าจำนวนมากกำลังชูใบขยายราก พวกมันได้น้ำ ได้ความสดชื่นฉ่ำเย็น ไม่ว่าจะเป็นฝนที่ตกพรำบางค่ำบางเช้า หรือฝนหนาที่มากับลมหลวงช่วงเดือนก่อนหน้า เวลาขี่รถถีบผ่านไปบนถนนดินลูกรัง ฉันจึงยังเพลิดเพลินกับการเฝ้ามองดอกไม้ต้นไม้

ดอกนั้น ดอกนี้ ต้นนี้ ต้นนั้น พลางพยายามบันทึกสีสันเหล่านั้นเอาไว้ในสมอง เพื่อจะกลับไปถ่ายทอดมันไว้ในสมุดลายไทย

มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เขียนว่าอย่างไรกันอีกนะ เขาเขียนถึงดวงตะวัน และมันคือสิ่งที่จับใจฉันจนต้องอ่านมันอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

[ไม่มีตะวันออกหรือตะวันตก ดวงตะวันขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก แต่นี่เป็นเพียงการสังเกตทางดาราศาสตร์เท่านั้น ความรู้ที่ว่าเรานั้นไม่เข้าใจทั้งตะวันออกและตะวันตกนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับสัจจะ ข้อเท็จจริงก็คือไม่มีใครรู้ว่าดวงอาทิตย์มาจากแห่งหนใด

ในบรรดาคัมภีร์เป็นหมื่นๆ สูตร มีพระสูตรหนึ่งที่น่าสำนึกในคุณเป็นประสูตรที่รวมเอาประเด็นที่สำคัญทั้งหมดไว้

พระสูตรนั้นคือคัมภีร์พระหฤทัยสูตร

ตามพระสูตรกล่าวว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “รูปคือความว่าง ความว่างคือรูป” วัตถุและจิตเป็นหนึ่งเดียว แต่ทั้งหมดล้วนเป็นความว่าง มนุษย์มิได้มีอยู่ มิได้ไม่มีอยู่ มิได้เกิดและมิได้ตาย ปราศจากความชราและความเจ็บไข้ ปราศจากการเพิ่มและปราศจากการลด]

 

ฉันอ่านหนังสือของฟูกูโอกะอยู่แทบทุกวัน มีบางวัน เพียงเพื่อจะพยายามไตร่ตรอง ทำความเข้าใจกับสิ่งที่อยู่ในหน้ากระดาษ ทบทวนไปมา

ฉันอาจไม่มีความรู้อะไรเลย ไม่ได้เรียนชั้นไหนเลยนอกจากประถมหนึ่งถึงประถมหก แต่ก็น่าแปลกใจดี มีหลายต่อหลายครั้ง ฉันคลับคล้ายว่าจะเข้าใจในคำเขียนเหล่านั้น ดังที่ฉันเคยพูดไป เหมือนมีแสงสว่างลิบๆ ในใจ บางคราวก็เกิดสภาวะ “รู้” อย่างกระจ่างใสราวมองเข้าไปในกระจก

ฉันเห็นตัวเอง เห็นเลือดเนื้อและสิ่งที่วิ่งพล่านในตัวเอง เห็นความเครียดเขม็งของเส้นเอ็นและพังผืดยึดโยงกระดูกเหล่านั้น เห็นสิ่งที่ก่อเป็นชั้นๆ และแตกสลายลง บางวัน ฉันเห็นวงกระเพื่อมของอารมณ์ที่เปราะบาง บางวัน ฉันเห็นก้อนกลุ่มความโกรธที่กำลังรอการระเบิดอยู่ แต่บางครั้งพวกมันก็เหมือนควันไฟกรุ่นๆ อยู่ในโพรงอกซึ่งมีงูอีกหลายตัวขดหางไหวๆ

ฉันเห็นอะไรต่อมิอะไรมากมาย ในห้วงยามที่อยู่ลำพัง และ…ถ้าตั้งใจจะมองมัน

แต่ก็นั่นเอง ยังคงมีอีกหลายวันที่ฉันหลงลอยไปในสิ่งมืดอับ ดั่งเทียนดับลง เพื่อจะตื่นขึ้นและพบว่า ตัวเองยังคงมีความระแวงหวั่นไหว มีใจที่พองฟูสลับกับฟีบแฟบ และมีปีศาจบางตัวยังซ่อนแอบอยู่ในฉัน

การยืนมองดูดวงตะวันลอยขึ้นฟ้าในแต่ละเช้า จึงเหมือนการพินิจพิจารณา

ฉันมักจะถามอยู่ในหัวตัวเองเสมอว่า พวกเราทั้งหมดจะไปสู่แห่งใด

 

[วันต่อมา ขณะที่กำลังเกี่ยวข้าว ผมพูดกับคนหนุ่มที่นั่งพิงกับฟางกองใหญ่ว่า

“ผมคิดว่าเมื่อข้าวถูกหว่านในฤดูใบไม้ผลิ เมล็ดจะงอกเป็นต้นอ่อน และขณะนี้ ขณะที่เรากำลังเกี่ยวข้าว มันก็ดูเหมือนกับตายไป แต่ความจริงก็คือแบบแผนเช่นนี้จะเกิดขึ้นซ้ำๆ ปีแล้วปีเล่า ซึ่งหมายความว่า ชีวิตนั้นมีอยู่อย่างต่อเนื่องในทุ่งนาแห่งนี้

และการตายในแต่ละปีโดยตัวมันเองก็เป็นการเกิดใหม่ในแต่ละปีด้วย คุณสามารถพูดได้ว่า ข้าวที่เกี่ยวอยู่ในขณะนี้มีชีวิตสืบต่ออย่างไม่ขาดสาย”]

 

ท้องทุ่งมีกลิ่นหอมยิ่งนัก เมื่อจู่ๆ ฉันก็เกิดความรู้สึกรักในทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา โดยที่ว่า เพียงสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่คนเหมือนกันเท่านั้นเอง

ฉันย่ำลงไปบนโคลนนิ่มๆ เปื้อนกอหญ้า ตาทอดมองปูกระดองสีน้ำตาลคลานไต่ มีแพงพวยทุ่ง มีดอกสันตะวา แมลงปอปีกใสๆ บินโฉบอยู่เหนือทิวข้าว แมลงบางอย่างในน้ำยกขาระโยงระยางของมันสร้างวงกระเพื่อมจิ๋วๆ

ฉันย่อตัวลง ใช้ปลายนิ้ววักดูแมลงตัวเล็กๆ ที่ราวจะพลัดตกลงไป มีตั๊กแตนสีเขียวแอบเบิ่งตามองมาจากซอกต้นข้าว พุทธรักษาอีกกอขึ้นอยู่ข้างลำน้ำเหมือง สายน้ำไหลรินๆ

กลิ่นของสิ่งทั้งปวงยังคงอบอวลอยู่ในโพรงจมูก

 

[มนุษย์มักจะมองชีวิตและความตายด้วยทัศนวิสัยที่ค่อนข้างตื้น การเกิดขึ้นของฤดูใบไม้ผลิ และการตายจากของฤดูใบไม้ร่วงมีความหมายอย่างไรต่อหญ้าเหล่านี้

คนเราคิดว่าชีวิตคือความรื่นรมย์ และความตายคือความเศร้าสลด เมล็ดข้าวที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นดิน ซึ่งจะงอกเป็นต้นอ่อนในฤดูใบไม้ผลิ ใบและลำต้นของมันเหี่ยวเฉาในฤดูใบไม้ร่วง แต่กระนั้นเมล็ดกระจิริดของมันก็ยังคงห่อหุ้มความรื่นรมย์แห่งชีวิตไว้อย่างเต็มเปี่ยม

ความรื่นรมย์แห่งชีวิตมิได้สลายไปพร้อมกับความตาย ความตายมิใช่อะไรมากกว่าการจากไปชั่วคราว

คุณมิได้กล่าวหรอกหรือว่า ข้าวนี้มิได้รู้จักความเศร้าสลดของความตาย ด้วยเหตุที่มันเป็นเจ้าของความรื่นรมย์แห่งชีวิตอันเต็มเปี่ยม]

 

ฉันยืดตัวขึ้น เพื่อมองไปยังทิวเขาข้างหน้า ด้วยการหันหลังให้ทิศตะวันตก ที่ซึ่งดวงตะวันจะลอยลงในทุกพลบค่ำ และหันหน้าไปหาทิศตะวันออก เพื่อจะมองเห็นทิวไม้อันซ่อนหลังคาเรือนมากมายไว้ข้างหลัง

ในหมู่บ้านแห่งนี้ มีบ้านไม้และกระท่อมตูบหย่างอยู่สักร้อยกว่าหลังคาเรือนได้ แทบทุกคนรู้จักกันไปหมดว่าใครเป็นใคร พ่ออุ๊ยแม่หม่อน ลูกเล็กเด็กแดง ล้วนสืบสานได้ถึงความเป็นมารากเหง้าวงศ์วาน ผัวคนบ้านนั้น เมียคนบ้านนี้ อ้ายอีแต่ละคนไปเอาผัวเอาเมียที่ไหน เหมือนอย่างตัวฉันที่ใครๆ ก็รู้ว่า “อีพี่ลูกใคร”

ฉันมาจากไหน หรือว่า ก็ดั่งไม่มีใครรู้ว่าดวงอาทิตย์ก่อกำเนิดมาได้อย่างไร ฉันเพียงอุบัติขึ้นเช่นเดียวกับเมล็ดพันธุ์ไม้ ณ ที่ซึ่งโขดเหง้าฝังรากสยาย และต้นไม้ที่เป็นต้นแบบ ก็แค่ปลดปล่อยบางส่วนของตนออกมา

แล้วพวกต้นไม้มีจิตใจไหมนะ มันเติบโตได้เช่นเดียวกับคนเรา ให้ร่มเงา ให้อาหาร ให้แม้แต่ทอดร่างลงเป็นไม้กระดานให้เราเหยียบเดินและเอนนอน ขณะหนึ่งฉันก็นึกสงสัยขึ้นมา พลางมีความใคร่รู้อยู่ดี

ในชีวิตที่ไม่รู้ที่มานี้ พวกเราทั้งหมดจะไปสู่แห่งใด

 

[สิ่งเดียวกันที่เกิดขึ้นกับข้าวเจ้าและข้าวบาร์เลย์ ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายภายในกายของมนุษย์ด้วย แต่ละวันผมและเล็บงอกใหม่ มีเซลล์เป็นหมื่นๆ ที่ตายไป เซลล์ใหม่เป็นหมื่นก็เกิดขึ้นแทนที่

เลือดในกายเดือนที่แล้วก็ไม่ใช่เลือดเดิมในวันนี้

เมื่อคุณคิดว่า บุคลิกลักษณะของคุณจะสืบต่อในร่างกายของลูกและหลานต่อไป คุณก็สามารถกล่าวได้ว่าคุณกำลังตายและเกิดใหม่ในแต่ละวัน และยังคงมีชีวิตต่อไปอีกหลายชั่วอายุคนหลังจากตายไปแล้ว]

 

ฉันเคยคิดว่า ตัวเองอยากจะตายไปจากโลกใบนี้ยิ่งนัก ด้วยอกใจที่คิดว่าตัวเองไกลห่างและปราศจากความรักความผูกพันต่อสิ่งใดๆ ยิ่งเมื่อผ่านวันเวลานานไป ยิ่งพบแต่ความโหดร้ายทารุณ ยิ่งจากคนที่ทำต่อคนด้วยกันเอง

แต่ไม่น่าเชื่อว่า โดยไม่ทันรู้ตัวสักนิด ความคิดใหม่ๆ เติมใส่เข้ามาในสมองตั้งแต่ตอนไหน หรือจะเป็นตอนที่ฉันได้อ่านหนังสือหลายต่อหลายเล่มที่เพียงบัวส่งมา หรือจะเพราะว่า ทุกๆ วันที่ฉันขีดตัวหนังสือลงในสมุดไม่เคยหยุดยั้ง จากคนที่สูญสิ้นความหวัง ฉันก็ค่อยๆ มีความหวังขึ้นมาใหม่

แต่ไม่เหมือนที่ผ่านมาเลย ที่เคยคิดว่า ฉันจะต้องมีเงินมีทอง จะต้องเก็บเงินให้ได้มากๆ ใช่…ฉันก็ยังอยากจะมีเงิน แต่เมื่ออ่านหนังสือเล่มล่าสุดนี้ สิ่งที่กำลังเป็นแรงจูงใจให้ฉันคือว่า ฉันจะต้องหาเงินแค่เป็นทุนไปข้างหน้า เพื่อจะได้ไม่ต้องวิ่งวนอยู่กับการหาเงินอีกตลอดเวลา

ฟูกูโอกะบอกว่า มีหมู่บ้านที่ผู้คนสามารถหว่านเมล็ดพืชลงบนพื้นดิน ปล่อยให้มันเติบโต แล้วใช้เวลามากมายได้กับการอ่านหนังสือ การเขียนบทกวี การติดตามดูความเจริญเติบโตของพืชพันธุ์ ด้วยการทำงานเหมือนไม่ทำงาน ด้วยการไม่ทำงานแต่คือการใช้ชีวิต…

ในชุมชนแห่งนั้น ผู้คนอาจจะมีคำตอบว่า พวกเขาทั้งหมดจะไปสู่แห่งใด

 

[หากว่าการมีส่วนร่วมอยู่ในวัฏจักรของการเกิดตายนี้ จะสามารถประสบสัมผัสได้ในแต่ละวัน ก็จะไม่มีอะไรอื่นที่จำเป็นยิ่งไปกว่านี้อีก แต่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถชื่นชมกับชีวิตขณะที่มันผ่านไป และแปรเปลี่ยนไปในแต่ละวัน

เขายึดติดกับชีวิตตามประสบการณ์ที่เขาได้สัมผัสมา และความติดยึดเป็นนิสัยเช่นนี้ที่นำความกลัวตายมาให้

การให้ความใส่ใจแต่กับอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว หรือต่ออนาคตที่ยังไม่มาถึง เขาก็ได้หลงลืมไปว่า เขามีชีวิตอยู่บนพื้นพิภพในปัจจุบันขณะ การต่อสู้ในความสับสน เขาจะเฝ้ามองชีวิตของเขาที่ผ่านไปเหมือนอยู่ในความฝัน]

 

หวานมุ่งตรงเข้ามาหาฉันอีกครั้ง จากทิศตะวันออกเบื้องหน้า ใบหน้าของหวานฉายแววรื่นเริงแจ่มใส กระโดดข้ามลำน้ำเหมืองเข้ามา

“พี่!”

“ว่าไง”

ฉันกำลังจะเปิดปากคลี่ยิ้มให้ ฉันกำลังรักทุกสิ่งรอบตัวขณะนี้ และรักที่จะเห็นใบหน้าซึ่งมีแววตาซื่อใสนั้นด้วย

“ฉันมีข่าวดีมาบอก”

“เรื่องอะไร”

หวานยื่นมือมาจับมือฉัน ปลายนิ้วงอเกี่ยวเข้าหากันอย่างที่เราทำอยู่เสมอๆ ก่อนหน้านี้

นกสีขาวตัวหนึ่งกระพือปีกขึ้นเหมือนตกใจอะไรสักอย่าง อ้อ มีชายสะพายปืนแก๊ปกำลังเดินอยู่ไกลๆ เขาสวมเสื้อสีเทาแก่ๆ แต่ก็เป็นส่วนประกอบกลมกลืนของท้องทุ่ง จนอกใจฉันพล่านพลุ่งด้วยความพอใจ

ฉันจะจำภาพไว้ไปเขียนบทกวี

“ฉันจะได้ไปทำงานที่อื่นแล้วล่ะ” แต่เสียงของหวานราวดังมาจากอีกโลกหนึ่ง

“ว่าไงนะ” ฉันเหลียวกลับไปหา

ปราศจากฟางแล้งในดวงตา ทุกสิ่งไร้ค่าและสิ้นเยื่อใย มีเพียงท้องฟ้ากระจ่างใสในนั้น

“มีคนมาติดต่อให้ไปทำงานขายอาหารทะเล เงินเดือนดีมากๆ เธออยากไปด้วยกันมั้ย!”

ฉันมองใบหน้าที่คุ้นตากว่าใบหน้าอื่นๆ ในช่วงผ่านมา

“เธอจะไปหรือ”

“ไปสิ! เขาให้เงินดีมากๆ เลยนะ ฉันว่าถ้าเราตั้งใจไปเก็บเงินที่โน่น ดีไม่ดี เราจะมีบ้านหลังใหญ่ๆ ได้เร็วกว่ามาจมเหนื่อยหลังขดหลังแข็งที่นี่”

[รูปของโลกทางวัตถุ บัญญัติเกี่ยวกับชีวิตและความตาย สุขภาพและความป่วยไข้ ความรื่นรมย์และความเศร้า ล้วนก่อกำเนิดขึ้นจากจิตของมนุษย์…]

———————————————————————————————————
(1) จากหนังสือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เขียน รสนา โตสิตระกูล แปล