ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 พฤษภาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | วิถีแห่งอำนาจ |
ผู้เขียน | เสถียร จันทิมาธร |
เผยแพร่ |
วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร
ประสบ พบกัน และกัน (189)
กิมย้งวาดพรรณนาอากัปกิริยาของเอี้ยก่วยออกมาว่า ภายในห้องตกแต่งคร่าวๆ แต่สะอาดสะอ้าน เพียงจัดตั้ง 1 โต๊ะสูง 1 โต๊ะเตี้ย
นอกจากนั้น ไม่มีวัตถุอื่นอีก
กระนั้น ตำแหน่งและกระบวนการจัดตั้งโต๊ะเป็นที่คุ้นตาคุ้นใจของมันยิ่ง กลับวางในลักษณาการเดียวกันกับในห้องศิลาของสุสานโบราณ
จึงเดินไปทางขวาตามสัญชาตญาณ
เห็นเป็นห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง พอผ่านไปก็เป็นห้องขนาดใหญ่กว่าอีกห้องหนึ่ง จัดตั้งโต๊ะ เตียง เก้าอี้ แบบเดียวกับห้องนอนของมันในสุสานโบราณ
จะต่างก็เพียงแต่ในสุสานโบราณเป็นศิลา ส่วน ณ แห่งนี้ประกอบจากไม้หยาบๆ
ด้านซ้ายมือเป็นเตียงเหมือนกับเป็นเตียงหยกเย็นซึ่งมันใช้ฝึกฝีมือเมื่อเยาว์วัย ภายในห้องยังขึงเชือกยาว 1 เส้น
ที่ริมหน้าต่างยังมีโต๊ะเล็กเตี้ย ด้านซ้ายมือของห้องเป็นตู้ไม้เนื้อหยาบ
พอเปิดประตูตู้ ภายในจัดวางเอาไว้ด้วยเสื้อผ้าเด็กอันจักสานจากเปลือกไม้หลายชุด เป็นแบบเดียวกับที่เซียวเล้งนึ่งเคยตัดเย็บให้มันเมื่อตอนอยู่ในสุสานโบราณ
เด่นชัดยิ่งว่าภายในกระท่อมแห่งนี้จำลองมาจากสุสานโบราณครบถ้วน
นับแต่เอี้ยก่วยเหยียบย่างเข้ามาในห้อง ลูบคลำโต๊ะเตียง หยาดน้ำตาก็เอ่อมาคลอหน่วยตั้งแต่ก้าวแรก ยิ่งเห็นยิ่งมิอาจสะกดกลั้น
น้ำตาไหลหลั่งลงราดรดเสื้อผ้าอาภรณ์
ทันใดนั้นรู้สึกว่ามีมือนุ่มนวลลูบไล้ไปตามผมของมันเบาแผ่วและไถ่ถามอย่างอาทรห่วงหา “ก่วยยี้ เรื่องใดไม่สุขสมใจ”
สำเนียงเช่นนี้ อิริยาอันลูบไล้เช่นนี้
เป็นไปเหมือนกับที่เซียวเล้งนึ่งเคยปลอบประโลมมันแต่กาลก่อน ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน มันพลันหันขวับไปอย่างรวดเร็ว
เห็นหญิงสาวอาภรณ์ขาวอนงค์หนึ่งยืนชดช้อยอยู่
ผิวพรรณยังผุดผาดเหมือนเดิม รูปโฉมเฉกเช่นที่คุ้นตา ย่อมเป็นยอดหญิงที่มันถวิลหาอาวรณ์อยู่ทุกเช้าค่ำวันคืน แม้กระทั่งยามหลับก็ยังฝันหา
ย่อมเป็นเซียวเล้งนึ่งแต่เพียงผู้เดียว
ทั้ง 2 นิ่งขึงตะลึงลานอยู่ชั่วขณะจึงค่อยอุทานดังอาออกมาเบาๆ จากนั้นก็ถลาเข้าสวมกอดกันและกันแนบแน่น
ร่างอ้อนแอ้นแช่มช้อย สำเนียงหยดย้อยอันได้ยิน
ใช่เป็นของนางหรือไม่ ใช่เป็นของมันหรือไม่ ที่เห็นอยู่เบื้องหน้าเป็นของจริงหรือเสมอเป็นเพียงสมมุติและมายา
ผ่านไปเนิ่นนานเอี้ยก่วยจึงกล่าว
“เล้งยี้ รูปโฉมของท่านไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ข้าพเจ้ากลับชราแล้ว”
“มิใช่ชรา” เซียวเล้งนึ่งกล่าวเหมือนปัดปฏิเสธหลังจากเพ่งพิศพิจารณาเอี้ยก่วย “หากแต่ก่วยยี้ของข้าพเจ้าเติบใหญ่แล้ว”
นางมิได้กล่าววาจามา 16 ปี จึงไม่แคล่วคล่องชัดถ้อยชัดคำ
ทั้ง 2 จึงมิได้กล่าวอันใดอีก เอี้ยก่วยเลือดลมระอุพลุ่งพล่าน พลันฉุดมือเซียวเล้งนึ่งวิ่งออกไปนอกห้อง
“เล้งยี้ ข้าพเจ้ามีความสุขยิ่ง”
พลันกระโดดขึ้นบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ตีลังกาติดต่อกัน 7-8 ทอด นับว่าสะท้อนอาการลืมตัว เนื่องจากการม้วนตัวตีลังกาด้วยความปรีติปราโมทย์จนลืมตัวเช่นนี้เป็นพฤติการณ์อันซุกซนของเอี้ยก่วยเมื่อแรกที่เข้าไปยังสุสานโบราณ
10 กว่าปีมานี้ มันไม่เคยมีพฤติการณ์เช่นนี้และแทบมิได้นึกถึงเรื่องเช่นนี้ หาคาดไม่ว่าวันนี้ย่างเข้าวัยกลางคนกลับแสดงฝีมืออย่างนี้ออกมาอีก
เพียงแต่มัน ณ วันนี้มีพลังฝีมือลึกล้ำ ฉะนั้น ร่างยามอยู่กลางอากาศ เคลื่อนไหวอย่างเผ่นโผนโจนทะยาน
แสดงออกถึงวิชาตัวเบาขั้นสูงล้ำ
เซียวเล้งนึ่งซึ่งกาลก่อนกดข่มอารมณ์ไม่เคยสำแดงความรู้สึกยินดี ไม่ยินดี ต้องเปล่งเสียงหัวร่อออกมา ละเมิดข้อห้ามของสำนักที่ว่า
“อย่าได้เอ่ยเอื้อน อย่าได้แย้มยิ้ม อย่าได้หรรษา อย่าได้ยินดี”
ลงไปอย่างสิ้นเชิงและดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาตามความเคยชินเพื่อเตรียมซับเหงื่อบนหน้าผากให้ แต่เอี้ยก่วยในวัย 30 ใบหน้าไม่แดง ลมหายใจไม่หอบถี่
ไหนเลยมีหยาดเหงื่ออันใด