ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 พฤษภาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | On History |
ผู้เขียน | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ |
เผยแพร่ |
แรกนาขวัญ ไม่ใช่พิธีพราหมณ์นะครับ เพราะแค่คำว่า “ขวัญ” ก็ไม่มีอยู่ในสารบบความเชื่อของพวกพราหมณ์แล้ว
สุวรรณภูมิยุคก่อนรับศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์จากอินเดีย เชื่อว่าวัตถุต่างๆ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ต่างก็มีส่วนประกอบสำคัญอยู่ 2 ส่วน
คือส่วนที่เป็นตัวตน ได้แก่ “ร่างกาย” กับส่วนที่ไม่เป็นตัวตน คือ “ขวัญ”
แม้แต่สัตว์ สิ่งของ และธรรมชาติ ต่างก็มีขวัญกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นขวัญควาย ขวัญยุ้งข้าว ขวัญนา จึงไม่แปลกอะไรเลยที่จะมีพิธีแรกนาขวัญ เพื่อเป็นการทำขวัญของท้องนา
“ขวัญ” จึงต่างจากสิ่งที่เรียกว่า “วิญญาณ” ตามคำสอนทางศาสนาจากอินเดียมากทีเดียว เพราะเมื่อคนตายวิญญาณก็ดับหายไป หรือจะวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละศาสนา แต่ขวัญไม่หายไปพร้อมเจ้าของที่ตาย ในทางตรงข้าม ขวัญของผู้ตายยังมีอยู่ แล้วพยายามหาหนทางกลับเหย้าเรือนเดิมของตน ไม่ว่าเหย้าเรือนเดิมจะอยู่ที่ส่วนไหนของโลก
ขวัญมีหน่วยเดียว แต่ฝังกระจายอยู่ทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่แรกเกิดมาเป็นตัวตน และมีความสำคัญเท่าๆ กันหมด รวมถึงสำคัญเท่ากับร่างกายด้วย เพราะร่างกายต้องมีขวัญ ถ้าไม่มีขวัญก็ไม่มีชีวิต ฉะนั้น ร่างกายที่มีชีวิตต้องมีขวัญ เช่น ขวัญหัว ขวัญตา ขวัญแขน ขวัญขา ฯลฯ
ดังนั้น “ขวัญ” จึงแตกต่างจาก “วิญญาณ” เป็นอย่างมาก เพราะวิญญาณตามความเชื่อที่เราอิมพอร์ตมาจากอินเดียนั้น เรามีอยู่เพียงคนละดวงเท่านั้น ผิดจากขวัญ ที่เราแต่ละคนมีกันอยู่เพียบดวง
ด้วยเหตุนี้คนสมัยก่อนจึงเชื่อว่าถ้ามีขวัญอยู่กับร่างกาย เจ้าของขวัญจะมีความสุข แต่ถ้าขวัญออกจากร่างกายไปเจ้าของขวัญก็ไม่มีความสุข ไม่เป็นปกติ อาจเจ็บไข้ได้ป่วยจนถึงตายได้ ดังนั้น จึงมีความเชื่อที่ว่า เมื่อเจ้าของขวัญเจ็บป่วยแสดงว่าขวัญไม่ได้อยู่กับตัว มีความจำเป็นต้องจัดพิธีเรียกขวัญ หรือพิธีสู่ขวัญให้กลับเข้ามาอยู่ที่เดิม
อย่างคำร้องโบราณว่า “ขวัญเอ๊ย ขวัญมา” นั่นแหละครับ
แต่ในหนังสือพุทธประวัติภาษาไทย (ซึ่งย่อมหมายความว่าถูกแต่ง หรือถูกแปลตามความเข้าใจอย่างไทย) หลายๆ ฉบับ เช่น พระปฐมสมโพธิกถา เป็นอาทิ มักจะอ้างเหมือนๆ กันไปหมดในทำนองที่ว่า
ครั้งหนึ่งเมื่อพระเจ้าสุทโธทนะ (พระราชบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะ) ทรงประกอบพระราชพิธี “จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ” ซึ่งก็ทำเอาบรรดาบ่าวไพร่บริวารทั้งหลายเฮโลกันไปชมดูความครึกครื้นในพระราชพิธีกันเสียหมด
เว้นก็แต่เจ้าชายสิทธัตถะ ที่ ณ ขณะจิตนั้นทรงมีพระชนมายุได้ 7 พรรษา ที่ทรงปลีกวิเวกมาประทับนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ใต้ร่มชมพูพฤกษ์ (ต้นหว้า) อยู่เพียงลำพัง
และก็ด้วยพระทัยอันบริสุทธิ์ ตามอย่างวิสัยของผู้ที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า ความวิเวกจึงทำได้ก่อเป็นสมาธิขั้นแรกที่เรียกว่า “ปฐมญาณ” จนทำให้เกิดปาฏิหาริย์ที่สำคัญครั้งหนึ่งในพุทธประวัติก็คือ เงาไม้ที่ใต้ร่มต้นหว้าแห่งนั้นไม่ทอดเงาไปตามแสงอาทิตย์ แต่คงอยู่ที่ใต้ร่มไม้นั้นเหมือนแสงเงาที่เกิดจากแดดในยามเที่ยงนั่นเอง
เมื่อพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเสร็จลงเมื่อยามบ่าย พระพี่เลี้ยงวิ่งมาหาเจ้าชาย แล้วก็พบเหตุอัศจรรย์ที่ว่า จึงนำความไปกราบบังคมทูลพระเจ้าสุทโธทนะให้ทรงทราบ
พระองค์จึงเสด็จมาทอดพระเนตรแล้วก็เกิดความอัศจรรย์ใจไม่ต่างไปจากพระพี่เลี้ยง จึงได้ถวายอัญชลี ซึ่งก็คือไหว้เจ้าชายสิทธัตถะ ผู้เป็นพระราชโอรสของพระองค์เองเป็นครั้งที่ 2
(ตามความในพุทธประวัติ พระเจ้าสุทโธทนะถวายอัญชลีแก่เจ้าชายสิทธัตถะ-พระพุทธเจ้า รวมทั้งสิ้นสามครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อภายหลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติขึ้นใหม่ๆ มีพระดาบสมาเยี่ยม แล้วไหว้เจ้าชายพระองค์น้อยนี้ พระเจ้าสุทโธทนะก็เลยไหว้ตาม ครั้งที่สองก็คือเรื่องที่เล่าไปข้างต้น ส่วนครั้งสุดท้าย คือครั้งที่สามเกิดขึ้นหลังจากที่ทรงสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว และได้เสด็จกลับไปโปรดพระพุทธบิดาเป็นครั้งแรก)
พุทธประวัติตอนนี้ก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะครับ เพราะเรื่องของอิทธิปาฏิหาริย์ก็ขึ้นอยู่กับศรัทธาความเชื่อเฉพาะบุคคล มากกว่าที่จะมานั่งถกกันว่ามันเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า? แต่เรื่องที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือ การที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงประกอบพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เพราะในอินเดียไม่เคยมีความเชื่อเรื่อง “ขวัญ” อย่างที่เกริ่นเอาไว้ข้างต้น แล้วพระองค์จะทรงประกอบพิธีแรกนาขวัญได้อย่างไรกัน?
อันที่จริงแล้ว พุทธประวัติตอนนี้ในภาษาบาลีเรียกพิธีกรรมนี้ว่า “วัปปมงคล” เป็นผู้แปลคำนี้เป็นไทยแต่ยุคโบราณ ที่เอาพิธีแรกนาขวัญเข้าไปใช้เทียบเคียง ด้วยอาจเห็นว่าเป็นพิธีการเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ของการเพาะปลูกคล้ายๆ กัน
คำว่า “วัปปะ” เป็นกริยาธาตุ แปลว่า “หว่าน” ตรงกับคำว่า “วาปยะ” ในภาษาสันสกฤต ที่แปลว่า “พึงหว่าน (เมล็ดพันธุ์)” หรือ “พึงเพาะปลูก”
พิธีวัปปมงคลที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงประกอบขึ้นนั้นจึงเป็นพิธีที่คล้ายๆ กับแรกนาขวัญ เพราะเป็นพิธีที่เชื่อว่าจะให้การเพาะปลูกอุดมสมบูรณ์
แต่ก็ไม่ใช่แรกนาขวัญ
เพราะไม่เกี่ยวกับเรื่องขวัญ แถมวิธีการประกอบพิธีที่ว่าในอินเดีย ยังแตกต่างออกไปจากพิธีแรกนาขวัญอีกด้วย
หนังสือเรื่อง “Sudras in Ancient India : A Social History of Lower Order” (วรรณะศูทรในอินเดียโบราณ : ประวัติศาสตร์สังคมของชนชั้นล่าง) ของราม ชาราน ชาร์มา (Ram Sharan Sharma) กล่าวถึงพิธีวัปปมงคลเอาไว้ว่า เป็นพิธีกรรมที่มีมาตั้งแต่ช่วงปลายยุคพระเวท (คือช่วงเวลาที่ร่วมสมัยกับพุทธกาล หรือเก่าแก่กว่าเล็กน้อย) ที่กษัตริย์จะทรงเป็นผู้ไถนาบนผืนนาศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ประกอบพิธีด้วยพระองค์เอง
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเค้าเดิมของพิธีกรรมอันเก่าแก่ในชุมชนแบบดั้งเดิม ที่มีอยู่ในชุมชนเครือข่ายวัฒนธรรมพระเวทในอินเดียเหนือ และยังตกทอดให้เห็นในศาสนาพุทธยุคต่อมา ในขณะที่หนังสือเรื่อง “History of Agriculture in India” (ประวัติศาสตร์การเกษตรกรรมในอินเดีย) ของวิโนท จันทรา ศรีวัสตวะ (Vinod Chandra Srivastava) ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเอาไว้ว่า ในพิธีวัปปมงคลนั้น พระราชา หรือตัวแทนของพระองค์ จะ (ทรง) ใช้คันไถที่ทำขึ้นมาจากทองหรือเงินเท่านั้น
โดยสรุปแล้ว พิธีวัปปมงคลที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงประกอบนั้นจึงเป็นพิธีเก่าแก่ในความเชื่อแบบพระเวท (ศาสนาต้นแบบของพราหมณ์-ฮินดู และก็แน่นอนด้วยว่า ณ ขณะจิตนั้นพระเจ้าสุทโธทนะยังไม่ได้หันมานับถือพุทธ) ที่จะให้กษัตริย์ทรงไถนาด้วยคันไถทอง หรือคันไถเงินด้วยพระองค์เอง เพื่อความอุดมสมบูรณ์ และเป็นมงคลแก่การเพาะปลูก ลักษณะอย่างนี้แตกต่างจากการทำพิธีแรกนาขวัญ เพราะนอกจากความเชื่อเรื่องขวัญแล้ว ยังแตกต่างกันไปในรายละเอียด
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการรับอิทธิพลของพุทธศาสนา และพราหมณ์-ฮินดูเข้ามาแล้ว ก็คงจะมีการนำเอาพิธีวัปปมงคลเข้ามาผสมผสานกับพิธีแรกนาขวัญ ดังปรากฏเป็นร่องรอยจากคำว่า “จรดพระนังคัล” โดยคำว่า “นังคัล” แปลว่า “ผาลไถนา”
แต่อย่างน้อยในพิธีวัปปมงคลก็ไม่ต้องจับเอา “พระโค” ที่ไหนมาทรงเครื่อง (การทรงเครื่องวัวอย่างที่เห็นอยู่ในพิธีแรกนาขวัญ มีมาอย่างน้อย 3,000 ปี ร่องรอยอยู่ในภาพวัวบนภาพเขียนสีที่ภูปลาร้า จ.อุทัยธานี) แล้วเสี่ยงทายก็แล้วกัน