ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 พฤษภาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ชกคาดเชือก |
ผู้เขียน | วงค์ ตาวัน |
เผยแพร่ |
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นักการเมืองเสียงดังโผงผาง เป็นคนหนึ่งที่ออกมาเตือนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และแกนนำพรรคอนาคตใหม่ว่าต้องเลิกบทพระเอกหนังไทยได้แล้ว อย่ามัวนั่งอยู่เฉยๆ ไม่เช่นนั้นจะโดนหมายสารพัดคดีทยอยกันเข้ามาเช้า-เย็น ควรต้องออกมาตอบโต้ ต้องฟ้องกลับพวกแจ้งความเท็จ
“แถมย้ำด้วยว่า การเมืองไทยต้องโหด เลว ดี มัวแต่เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ใจดี มีหวังต้องเป็นอนาคตดับ”
อาจจะไม่ใช่แค่คำแนะนำจากนายชูวิทย์เท่านั้น แต่สถานการณ์หลายอย่าง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวอย่างเป็นกระบวนการเพื่อหวังจัดการพรรคอนาคตใหม่ให้สูญสิ้นไปโดยเร็วนั้น ประจักษ์ชัดมากขึ้น
ท่าทีจากนายธนาธรและนายปิยบุตร แสงกนกกุล จึงเริ่มออกในแนวขอเดินหน้าเอาคืนและเลิกใช้ความอดทน ประกาศจะฟ้องกลับทั้งนักร้อง ทั้งสื่อ รวมทั้ง กกต.ด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อกล่าวหาเรื่องการถือหุ้นบริษัทวี-ลัค ที่ผลิตสื่อนั้น
ดูเหมือนนายธนาธรจะอยู่ในสภาพเลิกอดทนแล้ว เนื่องจากเจ้าตัวถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย
“แต่กลับมีการหาเรื่องอย่างจุกจิกหยุมหยิมไม่สิ้นสุด!”
โดยเฉพาะกล่าวหาว่า วันโอนหุ้น 8 มกราคมนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะนายธนาธรหาเสียงอยู่บุรีรัมย์ แต่เมื่อมีการชี้แจงว่า อยู่แค่ช่วงเช้า แต่เดินทางกลับมาเซ็นโอนหุ้นในช่วงบ่าย
แทนที่มีพยานหลักฐานเด็ดมามัดคำกล่าวของนายธนาธรว่าเป็นเท็จ ด้วยข้อมูลที่แน่นหนา กลับไปเปิดกูเกิลแม็ป คำนวณเวลาเดินทาง จนทำเอาคนที่เคยขับรถเส้นทางข้ามจังหวัดพากันขำท้องคัดท้องแข็ง
สุดท้ายนายธนาธรจึงเปิดโชว์ใบสั่งจราจร ที่มีกล้องถ่ายบนถนนสายดังกล่าว และพบว่ารถของนายธนาธรมุ่งหน้าเข้า กทม.ในบ่ายวันนั้นจริง แต่วิ่งเกินกฎหมายกำหนด คือเร็วกว่า 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
“หลักฐานจากกล้องตำรวจจราจรนี่เอง ที่นายธนาธรนำมาแสดงให้เห็นว่ามีเวลากำกับ ซึ่งยืนยันได้ว่าเขามาถึง กทม.เพื่อเซ็นโอนหุ้นตามเวลาอย่างแน่นอน”
แต่ขนาดนี้แล้วยังไม่เลิก จึงนำมาสู่คำประกาศต้องฟ้องกลับทั้งหมด
ขณะเดียวกัน ในวันที่นายธนาธรและนายปิยบุตรหอบหลักฐานเข้าชี้แจงกับ กกต.อย่างยาวนานถึง 4 ชั่วโมง เมื่อกลับออกมาได้ให้สัมภาษณ์ว่า บรรยากาศในห้องสอบสวนเต็มไปด้วยความตึงเครียด และสัมผัสได้ว่า จากการซักถามหลายอย่าง ทำให้เห็นได้ว่าคดีนี้มูลเหตุจูงใจไม่ใช่เรื่องกฎหมาย แต่เป็นเรื่องการเมืองมากกว่า
บทสรุปของนายธนาธร นายปิยบุตร และพรรคอนาคตใหม่ในเวลานี้ จึงมาถึงจุดที่ว่า เมื่อแรงมาก็ต้องแรงไป!
จุดประสงค์ของกฎหมายที่ห้ามนักการเมืองถือหุ้นในสื่อก็คือ ไม่ต้องการให้มีการใช้อิทธิพลการเมืองครอบครองสื่อ แล้วนำมาใช้ประโยชน์ สร้างแรงจูงใจกับประชาชน เพื่อให้ตนเองได้เปรียบในการหาเสียงเลือกตั้ง
ถ้ามองในแง่เจตนารมณ์ของกฎหมาย เทียบกับคดีหุ้นวี-ลัคแล้ว อธิบายได้ไม่ยากเลยว่า ในเมื่อบริษัทวี-ลัค เลิกผลิตนิตยสาร WHO แล้วตั้งแต่ปี 2559 จากนั้นยังผลิตสื่อตามที่ได้รับจ้างจากสายการบินและจากธนาคาร จนปี 2561 ก็หมดสัญญา และปิดกิจการสื่อทั้งหมดแล้ว พนักงานก็ต้องออกจากงานไปแล้ว ไม่มีการดำเนินกิจการใดๆ อีกเลยนับจากนั้น
“แล้วนายธนาธรจะใช้สื่อของบริษัทวี-ลัค มาสร้างประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้งได้อย่างไร!?”
รวมทั้งเอาเข้าจริงๆ ก็ชัดเจนว่า ข่าวในช่วงเลือกตั้งของพรรคอนาคตใหม่นั้น เป็นการนำเสนอของสื่อมวลชนทั้งหลายตามหน้าที่ปกติ เนื่องจากนายธนาธรและอนาคตใหม่มีจุดสนใจ เป็นข่าวที่ประชาชนให้ความสนใจติดตามมาก
นายธนาธรเป็นข่าวตลอดตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งไปจนถึงหลังเลือกตั้ง กระทั่งในวันนี้ ไม่เคยปรากฏว่านายธนาธรแอบใช้สื่อของตัวเองเพื่อการนี้เลย
เปรียบไปแล้ว คงไม่ต่างจากที่เคยโดนจับผิดเรื่องการนำเสนอประวัติตัวเองผิดพลาดในเว็บไซต์ของอนาคตใหม่ โดยไปเขียนพลาดว่า เคยเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครนายก
แต่เรื่องประวัติผิดเป็นอันยุติไป เพราะเป็นความผิดพลาดของผู้นำข้อมูลขึ้นเว็บ โดยที่นายธนาธรไม่ได้เคยอาศัยประวัติส่วนนี้มาใช้หาเสียงเลย
“มวลชนที่แห่กันมาสนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ ไม่เคยมีใครรู้ด้วยซ้ำว่ามีการเขียนประวัติส่วนนี้”
ที่สำคัญ ผู้สนับสนุนนายธนาธรเข้ามาด้วยประเด็นความคิดทางการเมือง แนวทางยกระดับการเมือง เปลี่ยนแปลงการเมืองไทย
“ไม่มีใครที่ชื่นชอบนายธนาธรและอนาคตใหม่ เพราะไปโดนหลอกให้เชื่อว่าเขาเคยเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยอย่างแน่นอน!”
เมื่อจะมาเอาผิดกันอีกด้วยข้อหาใช้สื่อที่ครอบครองเพื่อประโยชน์ในการเลือกตั้ง ทั้งที่เป็นสื่อที่เลิกไปแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน จึงเกิดมุขขำขันกันว่า
นายธนาธรคงใช้นิตยสาร WHO มาสร้างกระแส โดยการสร้างข้อมูลเท็จว่าเขาคือประธานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จนทำให้คนกว่า 6 ล้านหลงเชื่อ แล้วแห่กันไปกาบัตรให้
จนอนาคตใหม่เข้าสภาเป็นพรรคอันดับ 3 ทำนองนั้นกระมัง!?
ภายใต้บรรยากาศหลังการเลือกตั้งที่ผ่านไปนับเดือนแล้ว แต่การนับคะแนนของ กกต. ยังไม่มีอะไรชัดเจน ท่ามกลางกระแสข่าวการจัดตั้งรัฐบาล ที่พรรคการเมืองซึ่งชนะอันดับ 2 ทำทุกทางที่จะช่วงชิงการเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลเองให้ได้ จนเกิดข่าวงูเห่าราคาแพงสะพัด
เมื่อ กกต.ยังไม่สามารถสรุปผลออกมาให้เป็นชิ้นเป็นอัน แถมสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์เต็มไปด้วยความพิสดาร มีแนวโน้มที่จะทำให้พรรคการเมืองเล็กแห่เข้าสภาอีกกว่า 10 พรรค ซึ่งเชื่อได้เลยว่าพรรคเหล่านี้จะต้องไปโหวตให้ฝ่าย คสช.แน่ๆ
แถมเกิดกระบวนการร้องเรียน กกต. เพื่อเอาผิดกับพรรคการเมืองอีกฟากเพียงฝ่ายเดียวตลอด
“สภาพบรรยากาศเช่นนี้ จึงเกิดความอึดอัดคับข้องใจแผ่กว้างไปทั่ว พร้อมกับคำถามว่า การต่อสู้ทางการเมืองมีความเที่ยงธรรมจริงหรือ!?”
ดังนั้น จึงเห็นคำประกาศจากนายธนาธรและอนาคตใหม่ว่า จะไม่ยอมอดทนอีกต่อไป เดินหน้าร้องเรียนพรรคตรงข้ามอย่างเต็มสูบ และฟ้องร้องกระบวนการสกัดกั้นอนาคตใหม่อย่างไม่ลังเล
“เมื่อจะให้ยุบพรรคกันให้ได้ ก็ต้องยุบกันทั้งหมด”
เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย ไม่ทันไรก็โดนใบส้มใบแรกที่เชียงใหม่ จนวิเคราะห์วิจารณ์กันไปทั่วว่า ทั้งเพื่อไทยและอนาคตใหม่ รวมไปถึงพรรคฟากประชาธิปไตยคงต้องเตรียมรับกันให้ดี
“วันนี้พรรคเพื่อไทยจึงเริ่มบทดับเครื่องชนแล้ว ด้วยการประกาศศึก ยื่นร้องพรรคตรงข้ามให้ถึงขั้นยุบพรรคเช่นกัน”
จึงกล่าวได้ว่า ในท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมของการสรุปผลคะแนนเลือกตั้ง เริ่มเต็มไปด้วยการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างพรรคการเมือง 2 ขั้ว และกับ “กรรมการ”
จากนี้ไปการยื่นร้องเรียนให้ยุบพรรค จะกลายเป็นศึกใหม่ที่ชุลมุนอลหม่านกันไปหมด
ท่ามกลางปัญหาสารพัดของกระบวนการจัดเลือกตั้ง และการนับคะแนนที่ผิดพลาดหลายหน บนพื้นฐานของความรู้สึกว่าการเมืองเริ่มมีความไม่เป็นธรรมเริ่มแผ่กว้างไปในสังคม
“จนกล่าวกันว่า ถึงวันนี้การตัดสินให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะมีเหตุให้โมฆะได้หลายกรณีแล้ว”
เท่ากับว่าการเมืองหลังการเลือกตั้งจึงยังไม่มีอะไรที่แน่นอน แถมจะเริ่มเข้าโหมดการปะทะกันด้วยการร้องเรียนอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
หนักหนากว่านั้นคือ การเมืองเช่นนี้ ทำให้เศรษฐกิจปากท้องชาวบ้านก็ไม่สามารถฟื้นคืนมาเป็นปกติได้เสียที
แต่ที่ยุ่งเหยิงทั้งหมดนี้ เพราะจงใจจะล็อกผลการเมืองเอาไว้ล่วงหน้านั่นเอง!