ทุกอย่างอยู่ใน “ความมืด”

แสงสว่าง

จนถึงวันนี้ไม่มีใครรู้ว่ารัฐบาลชุดใหม่จะมีโฉมหน้าอย่างไร

เพราะเกมการชิงอำนาจยังไม่จบ

พรรคเพื่อไทยแม้จะได้ ส.ส.มากที่สุด และควรได้สิทธิจัดตั้งรัฐบาลก่อน

แต่ดูเหมือนว่าพรรคพลังประชารัฐจะไม่ยอม

เกมการช่วงชิง “อำนาจ” จึงดุเดือดและรุนแรง

พรรคเพื่อไทยและพรรคการเมืองในกลุ่มประชาธิปไตยที่ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ คสช.จับมือกันเหนียวแน่น

แม้จะมีความพยายามยื้ดยุดฉุดกระชากจาก “มือที่มองไม่เห็น” อยู่ตลอดเวลา

ใช้คนจากทุกสารทิศมาช่วยเจรจาให้เปลี่ยนฝั่ง

เพื่อไม่ให้เสียงรัฐบาลปริ่มน้ำ

ที่ชัดๆ ก็คือ พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวส ปูดออกว่ามีเพื่อนนายทหารมาเจรจาให้ย้ายฝั่ง

หรือการไหว้วานอดีตนายกรัฐมนตรี “หวานเจี๊ยบ” มาเจรจากับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา

รวมถึงรองนายกฯ ที่เคยดึง “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” มาเป็น ผอ.อสมท. ก็ต่อสายมาหา “ลุงมิ่ง” ตั้งแต่วันแรกที่รู้ผลการเลือกตั้ง

แต่จนถึงวันนี้เสียงของทั้ง 2 ฝ่ายก็ยังสูสีคู่คี่อยู่

ไม่แปลกที่เกมชิงอำนาจจะเปลี่ยนจากการเจรจาต่อรอง

มาเป็นการใช้ “อำนาจ”

ใน “ความมืด”

ไม่แปลกที่ พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์จะเจอภรรยาอดีตนายเวรร้องเรียนว่าเคยถูกถอดออกจากราชการ

เป็น ส.ส.ไม่ได้

ไม่แปลกที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” จะถูก กกต.แจ้งข้อกล่าวหาภายในเวลาอันรวดเร็ว

ไม่แปลกที่ ส.ส.เชียงใหม่ของพรรคเพื่อไทยจะเจอ “ใบส้ม”

และคงไม่แปลกที่สูตรการคำนวณ ส.ส.จะออกมาตามแนวทางของกรรมาธิการ

พรรคการเมืองเล็กที่ได้คะแนนแค่ 30,000 กว่าจะได้ ส.ส.

เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ “เรื่องแปลก”

สำหรับ “การเมือง” ในเงาสลัว

เช่นเดียวกับวันนี้ที่ไม่มีใครรู้ว่าคณะกรรมการเลือกวุฒิสมาชิก 250 คนเป็นใคร

ไม่มีใครรู้ว่าหลักเกณฑ์การเลือกเป็นอย่างไร

ไม่มีใครรู้ว่าสัดส่วนวุฒิสมาชิกของแต่ละอาชีพเป็นอย่างไร

ถามเท่าไรก็ไม่ยอมตอบ

รู้อีกทีก็เห็นชื่อเลย

ทั้งที่ 250 ส.ว.มีอำนาจในการเลือก “นายกรัฐมนตรี” เทียบเท่ากับ ส.ส. 500 คนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

ทุกอย่างอยู่ใน “ความมืด”

“เพลโต” นักปรัชญาคนสำคัญของโลกเคยกล่าวไว้ว่า “เด็กกลัวความมืดนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้

แต่โศกนาฏกรรมที่แท้จริงของชีวิต

คือผู้ใหญ่ที่เกรงกลัวแสงสว่าง”