จรัญ พงษ์จีน : เจ็บกันถ้วนหน้า ก่อนถึง 9 พ.ค. 62

จรัญ พงษ์จีน

“ศึกเลือกตั้ง” ล่วงเลยมาเดือนกว่าแล้ว ใกล้จะครบกำหนดวันที่ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” ต้องประกาศรับรองผลวันสุดท้ายคือ 9 พฤษภาคม

แต่จนป่านนี้ยังไม่มีใครรับประกันด้วยความชัวร์ได้ว่า “กกต.” จะสามารถประกาศผลรวมได้ 95 เปอร์เซ็นต์ เพื่อดำเนินการขั้นต่อไป เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้หรือไม่

ยังตาบอดคลำช้าง ไม่รู้หางรู้หัว ทั้ง “บัญชีรายชื่อ” มืดแปดด้านว่าจะใช้สูตรคำนวณหา ส.ส. “ปาร์ตี้ลิสต์” ที่แต่ละพรรคจะได้รับอย่างไร และใช้สูตรไหน สับสนอลหม่านว่าจะดำเนินการตามมาตรา 91 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 หรือตามกรอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 ยังไงดี

ขณะที่ “เขตเลือกตั้ง” คิกคุอาโนเนะยิ่งกว่า สะกดคำว่า “มาตรฐาน” ไม่ถูก มีแต่ “2 มาตรฐาน” งานหินสุดคือ การมุ่งกระแทกกลาง “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หมายน็อกมืด “พรรคอนาคตใหม่” ม้ามืดของศึกเลือกตั้ง

ที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนได้รวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นฟังได้ว่า เขาเป็นผู้ถือหุ้นใน “บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด” ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ จำนวน 675,000 หุ้น

เข้าข่ายผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจาก “นายธนาธร” ถือหุ้น “วี-ลัคมีเดีย” ประกอบกิจการสื่อสิ่งพิมพ์ กกต.สามารถแจก “ใบส้ม” ได้

มีโอกาสส่งเข้า “ช่องฟรีซ” เป็นเวลา 1 ปีระหว่างรอการสอบสวน พรรคอนาคตใหม่ที่ “นายธนาธร” เป็นหัวหน้าพรรค และบัญชีรายชื่อคนที่ 1 ต้องพังคลืนดุจปราสาททราย

 

“หุ้นสื่อ” ที่หมายเด็ดปีกเล่นงาน “ธนาธร” มากกว่าอะไรอื่น แต่พาลไปพัวพันกรณีที่เข้าข่ายกรรมเดียวกัน ว่าที่ ส.ส.จำนวนมาก ที่ได้รับเลือกตั้งทั้งระบบเขตเลือกตั้งและปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งก้าวข้ามภูเขาลูกใหญ่พ้นแล้ว คือชนะเลือกตั้งมาแล้ว มีแนวโน้มจะสะดุดก้อนหิน “ถือหุ้นสื่อ” หกล้มกันระเนระนาด มีโอกาสตายเป็นเบือ

เฉพาะ “พรรคอนาคตใหม่” เจ้าเดียว ที่ “ศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย “นักร้องเสียงทอง” ยื่นคำร้องต่อ “กกต.” เข้าโหมดเดียวกับหัวหน้าพรรค “ถือหุ้นสื่อ” เรียงร้อยเหงือกเป็นตับถึง 11 คน

ประกอบด้วย 1. “นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์” บัญชีรายชื่อลำดับที่ 9 2. “นายวินท์ สุธีรชัย” บัญชีรายชื่อลำดับที่ 19 3. “นายคารม พลพรกลาง” บัญชีรายชื่อลำดับที่ 26 4. “นายวรภพ วิริยะโรจน์” ลำดับที่ 38 5. “นายวรกร ฤทัยวาณิชกุล” ลำดับที่ 71 6. “นายฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล” ลำดับที่ 94 7. “นายหรินทร์ ยุวรัตนาพร” บัญชีรายชื่อลำดับที่ 111 8. “น.ส.นรีรัตน์ สุขวรรณรัตน์” ผู้สมัครเขต 2 สระบุรี 9. “นายวีรชน นามประกาย” ผู้สมัครเขต 4 สกลนคร 10. “นายปิยะเมษฐ ประณีตพลกรัง” เขต 14 นครราชสีมา และ 11. “น.ส.กัลยารัตน์ กิตติกัลยานนท์” เขต 10 ขอนแก่น

11 รายที่ถูกยื่นเอ็กซเรย์ อาจจะเข้าเกณฑ์ได้ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หรือที่ลงเขตรับเลือกตั้ง ชนะศึกมาหรือไม่ แต่ “อนาคตใหม่” สั่นสะเทือนพอสมควร

แต่เคสของการประกอบกิจการสื่อสิ่งพิมพ์ หรือสื่อมวลชน มิใช่ว่า “ปืนลั่น” คมกระสุน โดนเฉพาะคนของพรรคอนาคตใหม่ค่ายเดียว ได้แผ่อานิสงส์ลามทุ่งไปเกือบทุกพรรค

“พลังประชารัฐ” ที่ทำตัวดุจลูกสมภาร หลานเจ้าวัดก็ไม่รอดสันดอน โดนกะเขาด้วยเหมือนกัน เจ้าแรกมีการยื่นร้อง “นายชาญวิทย์ วิภูศิริ” ว่าที่ ส.ส.กทม.เขตมีนบุรี ว่าถือหุ้นสื่อ และที่ทำเอาพรรคปวดตับหนักก็ตรงที่ วันที่เจ้าตัวขนเอกสารมาชี้แจงกับผู้บริหารพรรค ดันสารภาพว่าดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ จดแจ้งวัตถุประสงค์ประกอบกิจการถูกบันทึกอยู่ในหนังสือบริคณฑ์สนธิ ข้อหนึ่งว่า “ประกอบกิจการวิทยุและโทรทัศน์”

ส่งผลให้เกมเปิดกว้าง ลูกไหลเข้าทางพรรคเพื่อไทยในทันท่วงที ระดมมือกฎหมาย แกนนำพรรค ยิงลูกโทษโดยพลัน รุกฆาตว่ากรณี “นายชาญวิทย์ วิภูศิริ” มีฐานะเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในลักษณะยอมรับว่าตนถือหุ้นสื่ออยู่จริงนั้น “เพื่อไทย” เห็นว่าควรดำเนินการให้จบสิ้นกระบวนความ โดยยื่นร้อง “นายชาญวิทย์” ทั้งในส่วนตัวและในฐานะกรรมการบริหารพรรค เข้าข่ายต้องห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง

และในฐานะกรรมการบริหารพรรคนั้น “นายชาญวิทย์” ต้องเป็นผู้เซ็นอนุมัติบุคคลที่ลงสมัครลงรับเลือกตั้งของพรรคด้วย จึงต้องรับผิดชอบในทางกฎหมาย ดังนั้น กกต.มีอำนาจที่จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย “ยุบพรรค พปชร.”

กรณีเยี่ยงว่านี้ ในพรรคพลังประชารัฐก็มีบุคคลอย่างน้อย 2 รายเข้าลักษณะเดียวกันกับ “นายชาญวิทย์” คือ “นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ” ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ “น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์” ว่าที่ ส.ส.กทม. ยอมรับว่ามีการจดแจ้งวัตถุประสงค์ธุรกิจสื่อไว้จริง แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับสื่อ

อย่างไรก็ตาม กรณี “หุ้นสื่อ” ที่ปรากฏปมเงื่อนออกมาเพียงบางส่วน บางราย เชื่อว่าผู้สมัคร ส.ส.ของทุกพรรคทั้งเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ ที่เป็นเจ้าของกรรมการบริหารบริษัท ต้องจดแจ้งวัตถุประสงค์ลงในแบบฟอร์ม หนังสือบริคณฑ์สนธิของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หนึ่งนั้นคือธุรกิจสื่อ เพื่อครอบอาณาจักรไว้โฆษณาหรือประชาสัมธ์บริษัทตัวเอง

ประเด็นดังกล่าว จะเป็นอุปสรรคให้ “กกต.” ประกาศรับรองผลในวันที่ 9 พฤษภาคมนี้ได้ไม่ครบ 95 เปอร์เซ็นต์

ส่อเค้าเล่าอาการว่า ไปๆ มาๆ แล้ว ศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา เสียแรงเปล่า