อุรุดา โควินท์ / อาหารไม่เคยโดดเดี่ยว : หัวเราะ ร้องไห้ และอร่อยเหมือนกัน

ฉันเคยดูยูทูบของแม่บ้านไทยในต่างแดน

เธอให้ข้อสรุปว่า ชีวิตคู่ระหว่างสาวไทยกับหนุ่มต่างชาตินั้น มีปัญหาใหญ่ไม่กี่เรื่อง

หนึ่งในนั้นคือเรื่องอาหาร และหลายคู่ก็เลิกกันด้วยเรื่องอาหาร

หญิงไทยยืนยันที่จะกินอาหารไทย แน่นอนว่ามีกลิ่นจัดจ้าน โดยเฉพาะปลาร้า

ฝ่ายสามีต่างชาติ ไม่เพียงไม่เข้าใจความอร่อยของปลาร้า แต่เขาทนกลิ่นของมันไม่ได้

ในประเทศเมืองหนาว ครัวย่อมเป็นครัวปิด ต้มปลาร้าแต่ละที ฉันแน่ใจว่าเครื่องดูดควันเอาไม่อยู่

ความแตกต่างทางวัฒนธรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน กับบางคนก็ละเอียดเกินกว่าจะปรับตัว ต้องเลิกรากันไปเพราะอาหารก็หลายคู่

แรกที่ฟัง ฉันคิด เฮ้ย จะขนาดนั้นเลยเหรอ คนเลิกกันเพราะอาหารนี่นะ

มาคิดอีกที สมมุติว่าฉันต้องอยู่กับคนที่กินกะปิไม่ได้ หรือกินเผ็ดไม่ได้เลย ชีวิตคงยากน่าดู

หมายความว่า ถ้าจะกินอร่อยทั้งคู่ เราต้องแยกสำรับกัน

กับบางคน อาหารเป็นเรื่องเล็ก กินง่ายอยู่ง่าย กินอะไรก็อร่อย ฉันถือเป็นโชค

แต่หากอาหารเป็นเรื่องสำคัญ เป็นความสุข ความปรารถนา ความรื่นรมย์ หรือกระทั่งเป็นแรงขับ เราก็ควรยอมรับตั้งแต่ต้น

ฉันได้คิดว่า ชีวิตคู่นั้น นอกจากหัวเราะในเรื่องเดียวกัน ร้องไห้เพราะสิ่งเดียวกัน เข้าใจความฝันของกันและกัน

เราควรอร่อยเหมือนกันด้วย

 

ฉันเป็นคนหนึ่งที่ร่างกายขาดความเผ็ดและน้ำพริกไม่ได้ ขาดรสเปรี้ยวก็ไม่ได้ ฉันชอบกินพิซซ่า ถ้าอร่อย และนานๆ ครั้ง บางเช้า ฉันก็กินขนมปัง

แต่ฉันถูกเลี้ยงมาด้วยข้าวเป็นเม็ดๆ กินกับอาหารที่มีรสหลากหลาย ข้าวและกับข้าวเป็นอาหารในชีวิตประจำวันของฉัน ไม่ใช่เนื้อย่างกับขนมปัง

ตอนมีความรัก ฉันไม่ได้คิดเรื่องอาหาร-นิดเดียวก็ไม่คิด แต่เมื่อคบกันนานวันเข้า ฉันรู้สึกถึงโชคดี ที่เราชอบกินเหมือนกัน

ถ้าเขาไม่ชอบน้ำพริกโจร ฉันคงเซ็งน่าดู ถามว่าจะเลิกกับเขาเพราะไม่นิยมกะปิมั้ย ก็คงไม่ ความรักย่อมอยู่เหนือกะปิ

แต่ฉันต้องทำน้ำพริกโจรกินอย่างเดียวดาย แล้วทำอย่างอื่นให้เขากิน โห…แค่คิดก็เหนื่อยขึ้นเยอะ ไหนจะเปลืองอีก

เขาชอบน้ำพริกมาก และกินเผ็ดเก่งมาก เกี่ยวกับการกิน เราแทบจะเป็นหนึ่งเดียว

ชอบและไม่ชอบเหมือนกัน

 

เช่น เราชอบกินแกงส้มภาคกลาง เพียงแต่เราไม่ชอบแกงส้มที่มีรสหวานเกินไป และเราต่างเกี่ยงกันตักปลา ทุกครั้งที่กินแกงส้มภาคกลาง จึงกลายเป็นว่า เหลือชิ้นปลาช่อนอยู่ในถ้วย ในหม้อ ให้เป็นที่สงสัยว่าบ้านนี้ทำไมไม่กินปลา (สงสัยฉลาดแล้ว)

เรากินปลาในแกงส้มภาคใต้ กินปลาในแกงอื่นๆ แต่กับแกงส้มภาคกลาง ไม่รู้ทำไม เราชอบกินผักมากกว่า

ฉันก็เลยแก้ปัญหาด้วยการแกงส้มแบบไร้ก้าง เป็นแกงส้มหน้าตาแปลกสักหน่อย

น้ำพริกแกงควรตำเอง ไม่ได้ยากอะไรเลย จะปั่นก็ยังได้ แต่ฉันเป็นคนประหลาด ชอบออกแรง ไม่ขี้เกียจตำ แต่ขี้คร้านล้างเครื่องปั่น

ใช้พริกจินดาแห้งแช่น้ำ สำหรับคนชอบเผ็ด หรือพริกแห้งเม็ดใหญ่ สำหรับแกงส้มไม่เผ็ด แอบใส่พริกขี้หนูสักห้าหกเม็ดเพื่อความจี๊ด ถ้าได้พริกขี้หนูสีแดงจะดีมาก หอมแดงเยอะๆ กระเทียมสี่ห้ากลีบ หรือจะไม่ใส่ก็ได้ กระชายนิดหน่อยพอให้หอม และเกลือทะเล ตำให้เนียนละเอียด แล้วจึงเติมกะปิดีนิดหน่อย เท่านี้ก็ได้น้ำพริกแกงส้ม

เตรียมน้ำมะขามเปียกไว้ด้วย ต้มน้ำแช่มะขามเปียก พอมันนิ่มดี ก็คั้นเอาแต่น้ำ สำหรับแกงส้มภาคกลาง ฉันรักที่จะเปรี้ยวและหวานอย่างนุ่มนวล ด้วยน้ำมะขามเปียก และน้ำตาลปี๊บ

ปลาช่อนหนึ่งตัว ฉันต้มทั้งหมด แกะเอาแต่เนื้อ อย่าให้เหลือก้าง แล้วก็ตำ น้ำแกงจะข้นมาก เพราะตำเนื้อปลาผสมน้ำแกงทั้งหมด ข้อดีก็คือ ได้กินปลาแน่นอน ไม่ต้องกังวลเรื่องก้าง และถ้ากินไม่หมด ตอนอุ่น ชิ้นปลาจะไม่เละ (เราตำหมดแล้ว)

ผักฉันชอบหั่นเป็นชิ้นเล็ก ต้องมีหัวผักกาดกับดอกแค ส่วนที่เหลือ แล้วแต่ในตู้เย็นมีอะไร ก็หั่นลงหม้อตามกันไป

ฉันมีถั่วพลูฝักเล็กน่ากินจากไร่ปลอดสารพิษ ได้มาพร้อมกับซุกินีลูกจิ๋ว คิดว่าใส่ไปด้วยต้องอร่อยแน่

หั่นทุกอย่างเป็นชิ้นเล็กหมด เพื่อตอนกิน เราจะกินได้สะดวก

 

ตั้งน้ำพอเดือด ตักน้ำพริกลงหม้อ พร้อมกับเนื้อปลา พอมันเข้ากันดี ฉันเริ่มปรุงด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และน้ำปลา ปรุงเป็นพื้นไว้ ให้พอมีรส ยังไม่ชิม โดยใส่น้ำตาลแต่น้อย ฉันเข็ดหลาบแกงส้มรสหวานนำ ทำเอาไม่ชอบกินแกงส้มอยู่หลายปี เพราะไปกินที่ไหนก็เจอแบบหวาน (รวมทั้งแกงส้มของแม่) กระทั่งแกงเองเป็นนั่นล่ะ จึงรู้ว่าแกงส้มก็อร่อย ไม่ต้องหวานหนักหนา ใส่น้ำตาลปี๊บพอให้จับรสได้เป็นพอ

รอน้ำแกงเดือดพล่าน ใส่ผักที่สุกยากลงไปก่อน คือหัวผักกาด ตามด้วยถั่วพลู ซุกินี ดอกแคเป็นอย่างสุดท้าย เมื่อผักสุก น้ำในหม้อจะมากขึ้น หมายความว่า เราต้องใส่น้ำตอนเริ่มแกงแต่น้อย เผื่อที่ไว้ให้น้ำจากผัก

คราวนี้ค่อยชิม และปรุงรสเพิ่ม ฉันชอบให้เปรี้ยวและเค็มมาคู่กัน และมีหวานรั้งท้าย ได้รสแบบที่ชอบแล้ว ฉันก็ปิดเตา

เรากินกับปลาสลิดทอดกรอบ และข้าวใหม่ ผักสดไม่ต้อง มีผักอยู่ในแกงส้มมากแล้ว

ต่างตักข้าวจานที่สอง (อย่างเร็ว)

“ทำไมเราไม่แกงอย่างนี้ตั้งนานแล้วโนะ” ฉันว่า

เขาหัวเราะ “นั่นสิ ไม่งั้นก็เหลือปลาอยู่ในถ้วยเนี่ย ไม่มีใครกิน แบบนี้ตักคำไหนก็เจอเนื้อปลา”

เรื่องอร่อยฉันไม่ห่วง เราชอบรสเดียวกัน ฉันชิมแล้ว แน่ใจเรื่องรสชาติ และแน่ใจว่าเอาก้างปลาออกไม่เหลือ

ตักแกงถ้วยที่สอง นั่งเท้าค้างมอง มันเป็นแกงส้มข้นคลั่ก แลไม่สวยงามนัก ก็แล้วยังไงเล่า ความงามหรือจะสู้ประโยชน์ใช้สอย