งานหิน! ภารกิจกวาดใต้พรม “พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง” ส้มหล่น ผบช.สตม.?

การแต่งตั้งนายพลนอกวาระประจำปี 2562 ที่ผ่านมา ปักหมุดที่สำนักสวนพูล เก้าอี้ “ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.)” แทน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ที่ถูก “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ลงนามให้ขาดตำแหน่งหน้าที่แล้วแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) เมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา

ยุคนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นตำแหน่งที่แวดวงสีกากีทราบดี นี่คือเก้าอี้พรีเมียม

เวลาผ่านไป 10 วัน หลัง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ถูกย้ายไปเป็นที่ปรึกษาพิเศษสำนักนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) แต่งตั้งแทน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ โดยใช้เวลาประชุมกว่า 45 นาที ในที่ประชุม ก.ตร.อนุมัติแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ผบช.ตชด.) นั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แทน

มาดูโปรไฟล์ส่วนตัว พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง

ชื่อเล่น “อู๊ด” เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 40 รับราชการครั้งแรกปี 2530 เป็นรองสารวัตรสืบสวนสอบสวน สภ.เมืองตรัง จากนั้นก็เติบโตมาอยู่ที่กองปราบปราม ย้ายไปชายแดนใต้เป็นผู้กำกับการ สภ.ยี่งอ จ.นราธิวาส เป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ผบช.ตชด.) เมื่อเดือนตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา

ด้วยบุคลิก ลีลาการเป็นผู้นำ ประวัติที่ผ่านมามีการจับกุม พ.ต.เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ หรือผู้พันตึ๋ง ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฆ่านายปรีณะ ลีรัตนพันธ์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร โดยระหว่างปฏิบัติราชการอยู่พื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ยังนำกำลังจับกุมแกนนำกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ได้หลายกลุ่ม

ย้อนดูการรับราชการของ พล.ต.ท.สมพงษ์ ยังไม่เคยสัมผัสผ่านงานในสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) การมานั่งตำแหน่ง ผบช.สตม.ถือว่าเป็นงานหินท้าทายความสามารถ เนื่องจากภาพลักษณ์ตำรวจ สตม.ที่เคยมีข่าวเรื่องการเรียกรับผลประโยชน์ และสารพัดปัญหา

เพราะสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นหนึ่งในหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ที่กำลังปรับตัวและพัฒนาองค์กรเพื่อก้าวเข้าสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” เดินหน้าตามยุทธศาสตร์ชาติ

มีอำนาจหน้าที่เหมือนเป็นผู้อำนวยการด้านยุทธศาสตร์ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติในการวางแผน ควบคุม ตรวจสอบ ให้คำแนะนำและเสนอแนะการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานในสังกัด สตม. จัดเป็นกองบัญชาการด่านแรกที่ต้องเร่งปรับโฉมให้ทันโลก

ที่ผ่านมาเจ้ารหัส “มหาเมฆ 1” ผบช.สตม.คนก่อนๆ ประกาศเดินหน้าตามวิสัยทัศน์การบริหารงานเพื่อสร้างภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น ความมั่นคงด้านชายแดน และนำเทคโนโลยีด้านต่างๆ เข้ามาใช้ เพื่อทำงานเชิงรุก ปลูกความโปร่งใส มุ่งมั่น จริงใจ แก้ไขปัญหาให้กับประชาชน โดยพร้อมนำพา สตม.ทำงานแบบโลกไร้พรมแดน

ต้องเชื่อมต่อประชาชาติภายใต้ยุทธศาสตร์แห่งความมั่นคงและมุ่งสู่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการตรวจสอบคัดกรองเพื่อให้การบริการที่ทันสมัย เพื่อรอรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

ณ วันที่รับตำแหน่ง ผบช.สตม. “พล.ต.ท.สมพงษ์” กล่าวกับผู้ใต้บังคับบัญชาวันมอบนโยบายตั้งแต่ระดับหัวหน้าด่านขึ้นไป โดยเน้นในเรื่องการทำงานอย่างตรงไปตรงมาตามที่รัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนด

พร้อมกำชับให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ทั้งในด้านความมั่นคงเพื่อป้องกันไม่ให้มีกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติเข้ามาในประเทศไทย และด้านการท่องเที่ยว ที่ต้องสร้างความสมดุล เพราะหากเข้มงวดมากเกินไปอาจทำให้นักท่องเที่ยวลดลงได้ จึงต้องคัดกรองให้คนดีเข้ามา โดยประสานงานกับตำรวจพื้นที่ กองบังคับการปราบปราม รวมถึงอินเตอร์โพล

ว่าที่ ผบช.สตม.ป้ายแดง บอกไม่กังวล เพราะตำรวจ ตม.มีความรู้ความสามารถ นอกจากนี้ยังพร้อมสานต่อนโยบายของผู้บัญชาการแต่ละท่านในทุกยุค

โดย สตม.ล้วนมีการบริหารที่ดีอยู่แล้ว และยังดีต่อเนื่อง เชื่อว่า ผบช.ทุกคนล้วนคิดดี หากมีอะไรขาดตกบกพร่อง จะพยายามแก้ไขให้ดีขึ้น

“ปัญหาเรื่องการเรียกรับผลประโยชน์ภายในองค์กรนั้นเป็นที่รับทราบดี ซึ่งเราต้องช่วยกันแก้ไขเหมือนที่ผ่านมา ในทุกสมัยผมในฐานะผู้บังคับบัญชาจะทำให้ดีที่สุด ใครทำผิดว่าไปตามผิด ตามระบบกฎหมายปกติ พร้อมสั่งกำชับให้หัวหน้าหน่วยดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดี หากหัวไม่ส่ายหางคงไม่กระดิก” พล.ต.ท.สมพงษ์กล่าว

นอกจากนี้ ผู้นำ ตม.คนใหม่ยังมีเป้าหมายนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้และบูรณาการเชื่อมโยงเทคโนโลยีของเครื่องไบโอแมตทริกซ์ คือวิธีการใช้ข้อมูลทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะเฉพาะทางกายภาพหรือพฤติกรรม มาใช้ในการตรวจสิทธิหรือแสดงตน เช่น ลายนิ้วมือ ฝ่ามือ เสียง ม่านตา เรตินา ใบหน้า ดีเอ็นเอ ลายเซ็น ซึ่งอยู่ระหว่างการติดตั้งทดลองระบบที่ยังไม่พร้อมใช้แบบเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นเรื่องนโยบายที่ ผบช.สตม.คนใหม่จะสานต่อเทคโนโลยีดังกล่าวหรือไม่หากติดตั้งเสร็จสิ้น เพื่อความก้าวล้ำในการบริการ

ขณะที่ ผบช.สตม.คนใหม่ยังต้องทำการบ้าน สางปัญหาบัตรฟาสต์แทร็ก หรือ “พรีเมียมเลน” เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสารกรณีพิเศษตามกฎหมาย ที่กำลังสร้างความอึมครึมให้กับ สตม.

เนื่องจากก่อนหน้า ทาง ตม.จ้างบริษัทเอกชนพิมพ์บัตรและเรียกเก็บจากสายการบิน 35 บาทต่อใบ

ทำให้ผู้เกี่ยวข้องสงสัยว่า ตม.ใช้อำนาจหรือกฎหมายใด แต่ทั้งนี้เรื่องที่ขุ่นเคืองเป็นเรื่องที่ท่าอากาศยานไทยกับบริษัทคู่สัญญาทำขึ้นด้วยกัน

โดยส่วนต่างที่ทางบริษัททัวร์คิดเพิ่มจากผู้โดยสารที่ต้องจ่ายเพิ่มจึงสามารถเดินผ่านเข้าช่องทาง “พรีเมียมเลน” ได้สะดวก ซึ่งผู้ปฏิบัติมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพื่อนำเงินส่วนต่างดังกล่าวมาเป็นค่าโอทีหรือเบี้ยเลี้ยงแทน “โนทิฟ”

แต่เป็นเรื่องที่ “มหาเมฆ 1” คนใหม่ ที่ถูกจับวางในเก้าอี้ใหญ่คล้ายส้มหล่นต้องเร่งสร้างความกระจ่าง เพื่อทำให้ภาพลักษณ์ด้านบริการว่า ตม.และประเทศไทยไม่ได้โกง