ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 ธันวาคม 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
สภานิติบัญญัติแห่งชาติเพิ่งจะผ่านพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่…) พ.ศ. … ไปเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
ด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ 168 ต่อ 0
ซึ่งด้วยความเคารพ ต้องขอกราบเรียนว่าทั้งโดยหลักการและโดยส่วนตัวแล้ว
ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับกฎหมายฉบับนี้
และถ้ารัฐ รัฐบาล หรือคณะผู้ร่างกฎหมายทั้งหลายเปิดใจ เปิดกว้างรับฟังเสียงสะท้อนจากรอบข้างบ้าง
ก็คงได้ยินเหมือนกันว่า ไม่มีใครเลยที่อยู่ในธุรกิจ อุตสาหกรรม หรือใช้ชีวิตประจำวันอยู่กับการสื่อสารในโลกยุคใหม่ที่บอกว่าเห็นด้วย
มีแต่เสียงค้านดังระงม
ค้านกันเรื่องไหน
ประเด็นหลักๆ สองอย่างก็คือ
สิทธิเสรีภาพของประชาชน และผลกระทบในทางเศรษฐกิจธุรกิจ
เป็นไปได้อย่างไรที่กฎหมายซึ่งกำหนดโทษจำคุก 2 ปีสำหรับคนที่เข้าไปล้วงข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
แต่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐในการเข้ามาล้วงข้อมูลเสียเอง
ในนามของ “คุณธรรม” และ “ดุลพินิจ”
หรือถ้าโพสต์ข้อความอะไรที่ท่านพิจารณาแล้วว่าเป็นการท้าทายอำนาจรัฐ
ทั้งคนโพสต์และเจ้าของเว็บมีสิทธิ์ติดคุกได้ 5 ปี
อำนาจที่คลุมเครือ การให้ดุลพินิจแบบกว้างขวางอย่างนี้
ด้านหลักคือกระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ประเด็นเรื่องสิทธิเสรีภาพในสังคมที่อยู่ใต้บรรยากาศเผด็จการ
ในบรรยากาศที่เห็นว่าการ “รวมศูนย์” คือความสามัคคี
พูดไปก็เถียงกันไม่จบ
เอาประเด็นที่ท่านควรจะเข้าใจง่ายๆ อย่างเรื่องเงินในกระเป๋าดีกว่า
เพราะที่ตามมาก็คือ ในสังคมดิจิตอล หรือเรียกกันหรูๆ (แบบที่รัฐบาลชอบพูด) ว่าสังคม 4.0
หลักประกันด้านสิทธิและเสรีภาพเป็นเรื่องสำคัญ
ถูกล้วงได้ง่ายๆ ถูกดำเนินคดีได้ง่ายๆ
ใครอยากมาลงทุน ใครอยากมาทำธุรกิจประเภทนี้ในเมืองไทย
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ ไทยมีสมาชิกเฟซบุ๊กมากที่สุด
มีกิจกรรมและการแสดงออก ไม่ได้แค่มากที่สุดในภูมิภาค แต่ถึงขนาดติดอันดับโลก
อย่างนั้นเฟซบุ๊กก็ยังไม่คิดจะย้ายสาขาในภูมิภาคจากสิงคโปร์มาไทย
ลองไปสอบถามเขาเองก็แล้วกันครับว่าทำไม
นี่แค่ตัวอย่างจากบริษัทเดียวเท่านั้น
ก่อนการลงมติพิจารณากฎหมายดังกล่าว
มีผู้นำรายชื่อประชาชนจำนวนกว่า 300,000 คนที่ลงชื่อไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาของกฎหมายดังกล่าวไปยื่นให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ผลก็คือไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น
300,000 เสียงของชาวบ้านที่เปิดเผยตัวตนชัดเจน มีชื่อนามสกุลพร้อม ไม่ใช่ไอ้โม่งจากไหน
มาแสดงหลักการ เหตุผล และข้อเท็จจริงในการท้วงติงกฎหมาย
ไม่ได้รับการพิจารณา
ไม่ได้อยู่ในสายตา
ไม่มีน้ำหนักที่จะไปเทียบกับคำอธิบายของเจ้าหน้าที่รัฐ
หรือการตัดสินใจของคน 168 คนที่ได้รับการแต่งตั้งมาโดยไม่ได้มีอะไรยึดโยงกับประชาชน
ท่านใดที่ยังเชื่อว่าอำนาจเด็ดขาดนั้นดีเลิศประเสริฐศรี
ก็ตามสบายเถอะครับ
และที่น่าผิดหวังไม่แพ้กลุ่มเผด็จอำนาจ
ก็คือกลุ่มผู้สูญเสียอำนาจ
อันได้แก่พรรคและนักการเมืองทั้งหลาย
เพราะในกรณีนี้ไม่ปรากฏว่ามีนักหรือพรรคการเมืองไหนออกมายืนยัน “หลักการ” หรือแสดงจุดยืนร่วมกับประชาชนทั่วไป
ว่าพร้อมที่จะเป็นกองหน้า หรือเป็นส่วนหนึ่งของการยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ไม่มี
มีที่ออกมาเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ พูดจาสวยหรูเหมือนครีมแต่งหน้าเค้ก
แต่เอาเข้าจริงไม่มีประโยชน์ ไม่มีรสชาติอะไร
ก็เป็นภาระของประชาชนของชาวบ้านอย่างเราๆ ท่านๆ ช่วยกันลงบัญชีเอาไว้
ว่าพอถึงเวลาที่เสียงของประชาชนคนธรรมดาพอจะมีความหมายขึ้นมาบ้าง
มีกฎหมายอะไรที่ต้องแก้ไขปรับปรุง
ให้เหมาะสมกับความเป็นจริง ให้ถูกต้องตามหลักการ
ให้อยู่ในแนวทางของการปกป้องสิทธิเสรีภาพของเรากันเอง
วันนี้แก้ไม่ได้เพราะอำนาจเด็ดขาดไม่ฟัง-นักการเมืองแหย
ไม่เป็นไร
พรุ่งนี้ มะรืนนี้ยังมี
เราไม่อยู่ พี่น้องลูกหลานเราก็ยังอยู่
อย่าลืมและอย่าท้อเท่านั้นละครับ