การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ คุณควรจะถามเด็กๆ ดูว่า…

[คํ่าคืนในฤดูใบไม้ร่วงนั้นยืดยาวและหนาวเย็น (1) การได้นั่งจ้องมองถ่านที่ลุกโพลง พร้อมกับถ้วยชาอุ่นๆ ในอุ้งมือช่างเป็นเวลาอันแสนสุข กล่าวกันว่า จะคุยเรื่องอะไรก็ดีทั้งนั้นถ้าคุยกันรอบกองไฟ…]

มีเปลวไฟวอมแวมอยู่ใกล้ต้นดอกเข็มขาว ฉันยังคงจดจำภาพเหล่านั้นได้ ในวงล้อมของพวกผู้ใหญ่ ท่ามเปลวสีส้มแลบเลีย กาดำมีไอพวยพุ่ง กลิ่นน้ำต้มสมุนไพรโชยกรุ่น บางครั้งน้องจะเดินเตาะแตะอยู่ใกล้ๆ บางคราวแม่จะโฉบมาใกล้ แล้วบอกให้พ่อเอามันหัวโข่ซุกในกองขี้เถ้าด้วย

หลายต่อหลายค่ำคืน ในวงผิงไฟ ยังจะมีเสียงหัวเราะเฮฮา จากเรื่องที่เอามาเล่าสู่กันฟัง มีทั้งเรื่องขบขันสองแง่สามง่าม เรื่องเล่าขวัญนินทา หรือแม้แต่การ “เพี้ยก” หยอกเย้ากันอยู่ไปมา

อาจเป็นค่ำคืนเหล่านั้น หรือไม่? ที่ยังจำหลักอยู่ในใจ ที่ทำให้เมื่ออ่านเรื่องของชายชาวญี่ปุ่น ฟูกูโอกะ ก็ให้จับใจไปเสียหมด

[ผมพูดถึงอยู่เสมอว่า สรรพสิ่งนั้นไร้แก่นสารอย่างไร มนุษย์นั้นล้วนโง่เขลา ไม่มีอะไรที่ต้องต่อสู้แข่งขันให้ได้มา และทุกอย่างที่กระทำไปล้วนเป็นความพยายามอันสูญเปล่า

ผมจะพูดเช่นนั้นได้อย่างไร และยังคุยถึงเรื่องราวเช่นนี้ต่อไปได้อีกอย่างไร หากผมผลักดันตัวเองให้เขียนอะไรออกมา สิ่งเดียวที่ผมจะเขียนก็คือ การเขียนนั้นไร้ประโยชน์…]

 

มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ คนนี้ เป็นมนุษย์แบบไหนกันนะ เช่นเดียวกับแซ็งแต็ก ซูเปรี คนที่เขียนหนังสือเรื่องเจ้าชายน้อย พวกเขาเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน ไม่ว่าจะอ่านถึงตรงไหน ก็ตรงกับสิ่งที่อยู่ในใจฉันเสียหมดสิ้น

ใช่…หลายต่อหลายครั้ง ตัวฉันเองก็ยังสงสัย ฉันอยากจะเขียนบทกวีไปทำไม หรือแม้แต่บันทึก พวกเรื่องลำนำทั้งหลาย ฉันจะเขียนเพื่อ…

หรือ…หรือเพราะว่า ฉันไม่ได้สนใจหรอกว่า สิ่งที่ตัวฉันเขียนจะมีประโยชน์หรือไม่ แต่เพียงอยากจะพูดมันออกไป อยากจะบอก อยากจะส่งสารออกไปให้กว้างๆ…ไปให้ไกล…ไกลที่สุด เท่าที่จะทำได้

แค่อยากพูดในสิ่งที่ฉันรู้สึกและคิดกับมัน อย่างบทกวีทุกๆ บทก่อนหน้า

 

ฉันจะก่อกองไฟในคืนมืด ปิ้งย่างความเย็นชืดอันหม่นไหม้

จะต่อเติมเชิงตะกอนสุมฟอนไว้ รอสักวันที่อาจได้พักนอนมัน

ฉันจะแหงนดูดาวที่ขาวผ่อง ยามตระกองกอดเธอในความฝัน

ที่ลี้ลับในห้วงสุดจำนรรจ์ จะมอบมันให้เธอเพียงลำพัง

ฉันจะโลดแล่นไปในสีดำ กับลำนำนรกที่โถมถั่ง

ฉันจะฆ่าตัวตายหลายหลายครั้ง จนกระทั่งชีวิตเป็นของฉัน

(บทกวีของฉัน เขียนมันเมื่ออยู่กับพี่ฝน)

 

ยังคิดว่ามีแสงตะวัน ประกายอันอาบอุ่นไอ

ยามที่ฉันจากไป มุ่งสู่เส้นขอบฟ้า

สิ่งใดอยู่กับฉัน อะไรกันรอเบื้องหน้า

กระจัดกระจายพรายพร่า กี่เสี้ยวที่บาดคม

โชคชะตาถีบฉัน ดั่งจะกลั่นแกล้งให้สาสม

ใบไม้ร่วงในสายลม ฉันแค่แตกสลาย

(บทกวีของฉัน เมื่อต้องทิ้งชื่นใจไว้ข้างหลัง)

 

ชีวิตอเนจอนาถเหล่านี้มันจะสิ้นสุดตรงไหน

มองดูถนนที่ทอดยาวไกล

แสงตะวันพร่าพราย มันคงไม่ใช่ของฉัน

วันนี้ฉันได้พบกับใครคนหนึ่ง อีกครั้งหนึ่งที่ได้พบกัน

ฉันควรเป็นสุขกับช่วงเวลาสั้นสั้น ทว่ามันกลับเจ็บปวดเหลือเกิน

ฉันไม่รู้ว่าพวกเราคืออะไร แต่รู้อย่างว่าเราคงไม่ใช่หมู่นกเหิน

เราอาจเป็นเพียงปลาที่พยายามเดิน อย่างมากก็เป็นนกที่ตกน้ำ

วันนี้มีสายลมพัดค่อนข้างแรง เย็นลงทุกทีท้องฟ้ามีสีแดง…ก่ำ

คงจะดีถ้าเราลบได้ทุกความทรงจำ และดำเนินชีวิตโดยปราศจากหัวใจ

ถนนข้างหน้าเหยียดยาว ฉันไม่อยากหวังแล้วถึงดวงดาวดวงไหน

แค่เพียงจะหาทางไป ในยามแตกสลาย

(บทกวีของฉัน เขียนมันในวันที่พบนางฟ้า)

 

[ในยามเริ่มแรก คนเราไม่รู้ว่าเขามาจากไหน หรือจะไปไหน การพูดว่าคุณเกิดมาจากครรภ์มารดา และต้องกลับไปสู่ผงคลีดิน เป็นคำอธิบายทางชีววิทยา แต่ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรดำรงอยู่ก่อนการเกิด หรือโลกที่รอเราอยู่ภายหลังตาย

เกิดมาโดยไม่รู้เหตุผล เพียงเพื่อจะหลับตาและจากไปด้วยความไม่รู้อันหาที่สุดมิได้ มนุษย์แท้จริงแล้วช่างเป็นสัตว์โลกที่น่าสงสาร]

 

…ชีวิต จะมืดมิดอย่างนี้กี่ปีเดือน

จะยากจนสิ้นไร้ไม่มีเพื่อน จะเป็นเหมือนขี้ฝุ่นผงธุลี

จะไปไหน หนแห่งใดสำหรับตัวฉันนี้

ทุกเวลานาที มีแต่ความเจ็บช้ำอำพรางใจ

อนาคต แค่การกดหัวแม่ตีนย่ำหนามใหม่

จะถอยหลังหรือเดินหน้าก็ล้าไร้ ใครหนอใครจะเข้าใจฉันสักคน…

(บทกวีของฉัน บทแรกๆ ที่ส่งไปหานิตยสาร)

 

คํ่าคืนนี้ไม่มีแสงพระจันทร์เสี้ยว มีแต่ฉันเพียงคนเดียวในห้องแคบ

อีกกี่ครั้งที่หัวใจให้เจ็บแปลบ มีบางแวบหวนคิดถึงผู้อยู่ไกล

คิดถึงบ้านชานเรือนที่จากมา พวกเขาคงไม่รู้ว่าฉันหมองไหม้

บนถนนแสนยาวที่ก้าวไป กี่ครั้งที่ต้องร้องไห้อย่างอ่อนแอ

อยากจะเป็นคนแข็งแรงเข้มแข็งมาก ไม่เคยอยากพลั้งพลาดมีบาดแผล

แต่ทุกคราวก็รู้ตัวฉันเพียงแค่ หนอนดักแด้ที่จมปลักและดักดาน

สักวันหนึ่งฉันจะไปถึงไหมหนอ วันที่มีคนรอฉันที่บ้าน

ได้พักเหนื่อยพักใจได้อยู่นาน วันที่ดอกไม้บาน…ที่ลานนั้น

(บทกวีของฉัน อีกบทที่ส่งไปหานิตยสารอีก)

 

พระอาทิตย์ตกลับลงหลังเขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว และอีกครั้ง ที่ฉันยืนมองดูแสงสีส้มบนฟากฟ้า อีกไม่นาน ราตรีกาลก็จะคลี่คลุมลงมา หมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่อาศัยก็จะเริ่มมีแสงไฟวอมแววขึ้น

แต่ทุกวันนี้ แทบจะไม่มีบ้านไหนแล้วใช้โคมตะเกียงน้ำมันก๊าดอย่างแต่ก่อน

…ไม่แน่หรอก บางที อาจจะมีบ้านใหม่อีกหลังที่จะกลับมาใช้ นั่นคือบ้านไม้ไผ่ของฉันเอง

“กว่าเราจะเก็บเงินได้สองพันก็ต้องอีกตั้งนานแน่ะ…กว่าเราจะค่อยๆ ทำสวนให้ได้กำไร” นั่นคือคำพูดของคำหวาน

“เธออยากทำสวนกับเราจริงหรือ”

“อ้าว! ทำไมถามแบบนั้นล่ะ ก็จริงสิ เราคุยกันแล้วนี่ ฉันก็อยากจะร่วมฝันกับเธอนะ ถ้าเราทำสวนได้เงินมากๆ เราก็จะทำอะไรได้อีกมากมาย คอยดูนะ ถ้าฉันปลูกบ้านได้หลังใหญ่ๆ เมื่อไหร่ พวกคนที่ดูถูกฉันเอาไว้จะต้องเสียใจ”

แต่ว่า…ฉันกลับไม่ได้คิดอย่างคำหวานเลย ตัวฉันไม่ต้องการบ้านหลังใหญ่ ไม่ต้องการไฟวิทยาศาสตร์กระจ่างแจ้งมากมาย ฉันแค่…แค่อยากได้อิสรภาพในบ้านที่เป็นของฉัน พื้นที่อันเพียงพอให้ฉันได้หายใจ ได้เดินย่ำไปบนพื้นฟากอันเย็นชื่น ได้ตื่นในห้องนอนที่มีหน้าต่างเปิดกว้างๆ

แค่อยาก…จะได้ตื่นมากวาดใบไม้ในลานข่วงยามเช้า ก่อไฟด้วยฟืนหรือถ่าน ตั้งเตาอั้งโล่ทำกับข้าว ฉันจะนึ่งข้าวกินเอง จะทำอาหารเอง และจะปลูกต้นไม้ดอกไม้ที่ฉันรักใคร่พวกมัน

แล้วไม่มีใครจะทำร้ายฉันได้อีก

แค่คิดอยู่เท่านั้น ต้องการเพียงเท่านั้น เหตุใดกัน ชีวิตถึงได้ยากเย็นเพียงนี้

หรือจะเป็นอย่างที่ฟูกูโอกะว่าไว้

[แต่เดิมมนุษย์หามีจุดมุ่งหมายใดไม่ บัดนี้เขาได้ฝันถึงจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อจะหาความหมายของชีวิต นี่เป็นการต่อสู้มวยปล้ำที่เล่นคนเดียว มันไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรสักอย่างที่ต้องคิดถึง หรือเฝ้าแสวงหา คุณควรจะถามเด็กๆ ดูว่า ชีวิตที่ไม่มีเป้าหมายนั้นไร้ความหมายหรือเปล่า

จากวันที่พวกเขาเริ่มเข้าโรงเรียนอนุบาล ความทุกข์ของคนก็เริ่มต้นขึ้น…]

—————————————————————————————————————-
(1) จากหนังสือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เขียน รสนา โตสิตระกูล แปล