มนัส สัตยารักษ์ | “เงิน” กับ “การเลือกตั้ง” มันก็เป็นเช่นนั้นแล

เป็นที่ประจักษ์ชัดและยอมรับกันทั่วไปแล้วว่า การต่อสู้ของพรรคการเมืองต่างๆ ในประเทศไทยนั้น แท้ที่จริงเป็นการต่อสู้ของกลุ่มคนร่ำรวยไม่กี่กลุ่ม โดยมีฝ่ายคนจนรวมไปถึงคนยากไร้อันเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นตัวแปรหรือปัจจัยที่จะทำให้คนรวยกลุ่มใดเป็นผู้ชนะ

พรรคเพื่อไทยได้รับการยอมรับจากทั้งเจ้าของพรรคและผู้สนับสนุนว่า เป็นพรรคที่ร่ำรวยอย่างไม่มีขอบเขตจนไม่สามารถบอกได้ว่าพรรคนี้มีคนรวยรวมแล้วทั้งหมดประมาณเท่าไหร่ เพราะเจ้าของพรรคตัวจริงอยู่ต่างประเทศที่ร่ำรวยมหาศาล เพียงแต่บอกว่าสู้ไม่อั้น โดยไม่ต้องอาศัยบารมีทางการเงินจากผู้ใดผู้คนก็เชื่อแล้ว

พรรคประชาธิปัตย์ แม้จะชอบประกาศตัวว่าเป็นพรรคยากจน แต่ในความเป็นจริงก็มีบริษัทเอกชนระดับเศรษฐีหนุนหลังปีละหลายร้อยล้านอยู่หลายเจ้าเหมือนกัน

พรรคภูมิใจไทยของเสี่ยอนุทิน ชาญวีรกูล มหาเศรษฐี วิศวกรของบริษัทรับเหมาก่อสร้างหลายแห่ง เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ซิโน-ไทยฯ ที่รับงานประมูลของรัฐหลายงาน ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคและสนับสนุนหลักก็คือนายเนวิน ชิดชอบ จากบุรีรัมย์ อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย ใครได้อ่านชื่อผู้ร่วมก่อตั้งพรรคก็คงตระหนักดีว่าเป็นพรรคของมหาเศรษฐี

พรรคการเมืองใหม่ที่ได้ชื่อว่าเป็นพรรคมหาเศรษฐีก็คือ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับพรรคอนาคตใหม่ (อนค.)

พรรค พปชร. จากการจัดงานเลี้ยงโต๊ะจีนในวาระตั้งพรรค ก็คงจะทำให้ทราบกันทั่วไปแล้วว่าเป็นพรรคมหาเศรษฐีและมีเศรษฐีสนับสนุนหลายเจ้า มากจนกระทั่งมีผู้ร้องให้สอบสวนถึงเงินซื้อโต๊ะจีน นอกจากนั้นยังเป็นที่ทราบกันดีว่าพรรคนี้สนับสนุนบิ๊กตู่ป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้น จึงมีนายทหารระดับบิ๊กจาก คสช. ร่วมสนับสนุนอยู่หลายราย บรรดานายทหารซึ่งไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินเหล่านี้ทำให้เดาได้ว่าเป็นเศรษฐีแน่นอน

สำหรับพรรคอนาคตใหม่นั้น เจ้าตัวหัวหน้าพรรค นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประกาศเปิดเผยโปรไฟล์ตัวเองมาตั้งแต่วาระแรกแล้วว่าเป็น “ไพร่หมื่นล้าน” มีเสียงสำทับให้ความมั่นใจจากนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เจ้าของ “ซัมมิท” ผู้เป็นมารดา ว่า “ลงทุนให้ธนาธร 5,000 ล้าน”

แม้ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการยังไม่ได้ประกาศออกมา แต่เท่าที่ กกต.และสื่อทั่วไปออกข่าว ก็สังเกตเห็นได้ว่ารายชื่อพรรคที่ผมเอ่ยนามมาข้างต้นล้วนแต่ได้สมาชิก ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นกอบเป็นกำ พรรคที่เหลือจากนั้นกลายเป็นพรรคเล็กไปหมด

ยืนยันได้ว่า เรื่องเลือกตั้งเป็นเรื่องของมหาเศรษฐี

ดังนั้น ในการหาเสียงเลือกตั้ง 62 ครั้งนี้ หลายพรรคจึงจำต้องถอยหลังไปใช้วิธีการเก่าๆ ที่เคยใช้มากว่า 10 ปีแล้ว นั่นคือ เอา “เงิน” เข้าล่อ โดยใช้จิตวิทยาง่ายๆ เป็นเครื่องประกอบ พรรคหนึ่งซึ่งประสบความสำเร็จโดยวีธีนี้ตลอดมาทั้งๆ ที่ผลงานทำความเสียหายต่อประเทศชาติย่างมหาศาลเพราะการทุจริตคอร์รัปชั่น ก็กลับมาใช้วิธีการอย่างเดิม

วิธีการนั้นก็คือ ป่าวประกาศบอกต่อประชาชนผู้จะลงคะแนนเสียงว่า “จะได้” สิ่งตอบแทน บอกไปทางสื่อสารด้วยเส้นทางต่างๆ ไม่ว่าจะด้วยเสียงจากเวที หรือภาพ โปสเตอร์ หรือคัตเอาต์

“เลือกเรา กระเป๋าตุง”

ที่พูดดังนี้มิได้หมายความว่าประชาชนที่ลงคะแนนเสียงให้เป็นคนโง่กว่าคนที่ลงให้พรรคอื่นนะครับ แต่คนไทย (หรือชาติไหนก็ตาม) ล้วนอยู่ได้ด้วยความหวังข้างหน้าทั้งสิ้น นั่นคือ ในการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรครั้งนี้ พวกเขาหวัง “จะ” กระเป๋าตุง

พรรคอื่นที่ไม่ได้สร้างประสบการณ์หรือผลงาน “จะได้” นี้มาก่อน ผู้เลือกตั้งจึงไม่เสี่ยงที่จะกาคะแนนให้

ส่วนพรรคใหม่เอี่ยมคือ พปชร. นั้นถึงกับลอกแบบใช้ “ประชานิยม” ก่อนประกาศตั้งพรรคเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่เลี่ยงไปใช้คำว่า “ประชารัฐ” แทน (ซึ่งเตรียมไว้เป็นชื่อพรรคเป็นการเอาเปรียบพรรคอื่น อย่างไม่แนบเนียนนัก) แล้วก็ได้ผลเป็นไปตามความคาดหมาย เพราะประชาชนต่างหวังว่า “จะได้บัตรประชารัฐ” ไว้เบิกเงิน

พรรคใหม่เอี่ยมอีกพรรคหนึ่งไม่ได้ให้ความหวัง “จะได้” แก่ผู้ลงคะแนนเสียง แต่กลับได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 3 นั้นก็คงเพราะผู้ลงคะแนนเสียงหน้าใหม่ ไม่มีประสบการณ์และส่วนใหญ่อยู่ในเมือง ยังไม่รู้จักความหวังแบบ “จะได้” มาก่อน

ถึงบังเอิญรู้จัก แต่วัยแห่งอุดมการณ์ทำให้พวกเขาต่อต้านอยู่ในสายเลือดก็ได้

เลือกตั้ง 62 การร้องเรียน “ซื้อเสียง-ขายเสียง” เบาลงหรือน้อยลงกว่ายุคก่อน แต่กระนั้นก็มีเรื่องที่อาจจะโยงไปถึงได้ คือ เรื่องที่นักการเมืองนายหนึ่งถูก ผอ.สำนักอำนวยการประจำศาลอาญา กล่าวหาละเมิดอำนาจศาล กรณีพกพาอาวุธปืนขนาด .357 พร้อมเครื่องกระสุนเข้ามาในอาคารศาลอาญา

นักการเมืองให้ทนายแถลงต่อศาล อ้างว่า อาวุธปืนดังกล่าวอยู่ในกระเป๋าเป้ที่ตนสะพายมาด้วย โดยภรรยาเป็นผู้นำอาวุธปืนใส่ไว้โดยที่ตนไม่ทราบมาก่อน เมื่อเครื่องตรวจพบว่ามีอาวุธปืนรู้สึกตกใจ ขอให้ศาลลงโทษสถานเบา

ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้ถูกร้องให้การยอมรับจึงถือว่าประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล แต่ได้ความว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะก่อความไม่เรียบร้อยจึงเมตตาปรับ 500 บาท หลังจากนั้นตำรวจ สน.ท้องที่นำตัวไปดำเนินคดีฐานพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต

เรื่องที่ควรจะน่าตื่นเต้นก็กลายเป็นเรื่องจืดชืดไปทันที!!

เพราะมีกระแสข่าวมาว่านักการเมืองเบิก “เงิน” จำนวนมาก (ตามข่าวว่า 3 แสนบาท) กระเป๋ามันตุงจึงต้องพกปืนมาด้วย ครับ…นักการเมืองเบิก “เงิน” จำนวนมากในระหว่างหาเสียงนี่ควรจะเป็นรื่องที่น่าตื่นเต้น… มันจะหอบหิ้วกันไปอย่างไร?

ทำให้นึกถึงเรื่อง “เงินอิเล็กทรอนิกส์” ที่เขียนในคอลัมน์นี้เมื่อต้นปี 2559 ถ้าประเทศเราเลิกใช้ธนบัตรราคาแพงๆ (ตั้งแต่แบงก์ 100 ขึ้นไป) แบบประเทศในยุโรปหลายประเทศ นักการเมืองซื้อเสียง คนโกงภาษี ข้าราชการคอร์รัปชั่น ตำรวจรีดไถกลางถนน

มันล้วนเป็นภาพที่ชวนตื่นเต้นได้ทั้งสิ้น