เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์ /สามเณรปลูกปัญญาธรรมปี 8

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

สามเณรปลูกปัญญาธรรมปี 8

ใครที่เป็นแฟนประจำรายการเรียลลิตี้ห้องเรียนธรรมะถ่ายทอดสดสำหรับเยาวชนตลอด 24 ช.ม. ที่ชื่อ “สามเณรปลูกปัญญาธรรม” อาจจะรู้สึกว่า มาถึงอีกแล้วหรือ และเป็นปีที่ 8 แล้วด้วย

เพราะเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา ได้มีการทำสามเณรปลูกปัญญาธรรมปี 7 ในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม แล้วพอเดือนกรกฎาคม ก็มีรายการ “สามเณรปลูกปัญญาธรรม อินเตอร์ฯ” ขึ้นมาเป็นครั้งแรก 1 เดือนเต็ม

คนที่เป็นแฟนรายการเลยได้ติดตามดูอย่างต่อเนื่องเต็มอิ่ม

และนี่ก็กำลังจะมีอีกแล้วเป็นครั้งที่ 8 ในช่วงวันที่ 21 เมษายน-19 พฤษภาคม

ใน 7 ปีที่ผ่านมา ได้จัดการบรรพชาสามเณรใน กทม. ใน 2 ปีแรก จากนั้นก็ออกสัญจรไปตามภูมิภาคต่างๆ โดย 2 ปีถัดมาเป็นที่ จ.เชียงราย อีก 2 ปี เป็นที่ จ.สระบุรี และเมื่อปีที่แล้วเป็นที่ จ.อุบลราชธานี

ครั้งนี้รายการล่องไปทางใต้เป็นครั้งแรก โดยได้รับความเมตตาจากท่านเจ้าอาวาสวัดสวนโมกขพลาราม “พระภาวนาโพธิคุณ” ให้ใช้สถานที่ในการบรรพชา และถ่ายทำรายการได้ตลอด 31 วันเต็ม

ขอบคุณภาพจาก CP E -NEWS

 

หากใครได้เคยไปที่สวนโมกข์ คงนึกออกถึงสภาพที่เป็นธรรมชาติแท้ๆ ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของท่านพุทธทาสภิกขุ ทั่วบริเวณไม่ได้มีการก่อสร้างอาคารอะไรใหญ่โตมากมาย หากสอดรับไปกับธรรมชาติ และรองรับการใช้งานในการสอนธรรมะแก่ประชาชน

แม้แต่โบสถ์อย่างวัดทั่วๆ ไปพึงมี ที่สวนโมกข์นี้ก็เป็นเพียงลานดินกว้าง มีต้นไม้ใหญ่เป็นหลังคา และมีพระประธานอยู่ตรงกลาง ท่านพุทธทาสภิกขุผู้ให้กำเนิดวัดสวนโมกข์ได้กล่าวถึงโบสถ์ลักษณะนี้ไว้ว่า

“เพื่อให้ง่ายและประหยัด คล้ายครั้งพุทธกาลมากที่สุด ในสมัยพุทธกาลไม่มีอาคารโบสถ์แบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน ท่านกำหนดใช้ที่กลางดิน หรือว่าใช้ในวิหารที่พัก กำหนดว่าอยู่ในวิสุงคามสีมาก็ใช้ได้ วิสุงคามสีมาคือเขตที่แยกจากหมู่บ้าน”

เวลาที่สวนโมกข์จะทำพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ ก็จะใช้ลานดินแห่งนี้ประกอบพิธี

สวนโมกขพลาราม หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “วัดธารน้ำไหล” ตั้งอยู่ที่เขาพุทธทอง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ท่านพุทธทาสภิกขุก่อตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและสถานที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา

เมื่อปี 2475 ท่านพุทธทาสพร้อมด้วยโยมน้องชาย และเพื่อนในคณะธรรมทานประมาณ 4-5 คน พากันออกเสาะหาสถานที่ที่มีความวิเวก สงบ และเหมาะสมจะเป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรมตามรอยพระอรหันต์

สำรวจกันอยู่ประมาณเดือนเศษก็พบวัดร้าง เนื้อที่ประมาณ 60 ไร่ ชื่อวัดตระพังจิก วัดนี้รกร้างมานาน ทั่วบริเวณเป็นป่ารกครึ้ม มีสระน้ำใหญ่ เมื่อท่านพุทธทาสพอใจแล้ว จึงจัดทำเพิงที่พักอยู่หลังพระพุทธรูปเก่า ซึ่งเป็นพระประธานในวัดร้างนั้น

แล้วท่านก็เข้าอยู่ในวัดร้างแห่งนี้เรื่อยมา

 

ท่านพุทธทาสเห็นว่าบริเวณใกล้ที่พักมีต้นโมก และต้นพลาขึ้นอยู่ทั่วไป จึงคิดนำคำทั้งสองมาต่อเติมขึ้นใหม่ ให้มีความหมายในทางธรรม ซึ่งในภาษาบาลี คำว่า “โมกข” แปลว่า “หลุดพ้น” และ “พลา” แปลว่า “กำลัง” จึงเกิดคำว่า “สวนโมกขพลาราม” อันหมายถึง สวนป่าอันเป็นกำลังแห่งความหลุดพ้นทุกข์ขึ้นมาตั้งแต่บัดนั้น

จากนั้นมาถึงวันนี้กว่า 80 ปีแล้ว แม้จะได้มีการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมขึ้น แต่สภาพความสมบูรณ์ของป่าไม้ยังคงอยู่

นั่นเท่ากับว่าสามเณรที่จะบวชและจำวัดที่นี่ จะได้เรียนรู้ธรรมะควบคู่ไปกับการเรียนรู้ธรรมชาติอย่างแยกกันไม่ออก

 

ในปีนี้มีน้องๆ ที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการจากทั่วประเทศกว่า 5 พันคน และคัดเลือกรอบสุดท้ายมาได้ 12 คนเป็นว่าที่สามเณร และกำลังจะสู่การบรรพชาในไม่กี่วันนี้แล้ว

ผ่านการคัดเลือกมาด้วยการกลั่นกรองอย่างรอบด้าน โดยไม่ต้องอาศัย กกต. ให้มีเรื่องฟ้องร้องกันให้วุ่นวาย

การเลือกน้องๆ ที่ไม่ต้องพะวงว่าจะมาในโควต้าเขตหรือปาร์ตี้ลิสต์ ทำอย่างเข้มข้นจนได้ 12 ว่าที่สามเณรที่มาจากพื้นที่ต่างๆ ดังนี้ ที่เป็นเจ้าบ้านจาก จ.สุราษฎร์ธานีติดมาถึง 3 คน คือ “น้องนูโว” “น้องอิ๊กคิว” “น้องเจ้านาย”

“นูโว” อายุ 10 ปีแล้ว จึงอาสาดูแลน้องๆ เอง ด้วยสโลแกนประจำตัวที่ว่า “พี่บ่าวหัวใจสู้ พร้อมดูแลน้อง”

ในขณะที่ “เจ้านาย” ก็ยังเล็กเหลือเกิน แค่ 7 ปีเอง และที่มาบวชเพราะอยากลดความดื้อของตัวเองลง ดีนะที่ยังรู้ตัว

ส่วน “อิ๊กคิว” นั้นอายุ 8 ปี เป็นเด็กใต้สายกีฬา เลยอยากฝึกสมาธิเพื่อเอาไปใช้ในการเล่นกีฬา เรียกว่ามีเป้าหมายในการบวชชัดเจน

น้องอีกคนหนึ่งที่มาจากภาคใต้เหมือนกัน แต่เป็น จ.นครศรีธรรมราช คนนี้มีบุคลิกโดดเด่นจำได้มาตั้งแต่ปากซอย ชื่อว่า “น้องภูมิ” ที่มาพร้อมกับฉายาหล่อดี สีไม่ตก เพราะผิวพรรณของภูมินั้นเข้มข้นตามแบบชาวใต้ขนานแท้ และพูดแหลงใต้เป็นปกติด้วยเสียงอันดัง พร้อมรอยยิ้มและท่าทางมั่นใจในตัวเอง เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับคนรอบข้างได้ตลอดเวลา

น่าจะเป็นตัวจี๊ดประจำโครงการนี้แน่นอน ช่ายมาย…

 

ใน 12 คนนี้มีมาจากภาคเหนือคนเดียวจาก จ.ลำพูน แถมอายุยังน้อยเพียง 7 ปี ชื่อว่า “น้องนะโม” จึงได้ฉายา ละอ่อนน้อย เล็กพริกขี้หนู เห็นตัวเล็กอายุยังน้อยเช่นนี้ แต่มีใจมุ่งมั่นที่จะได้ฝึกช่วยเหลือตัวเอง โดยไม่มีพ่อ-แม่คอยดูแลใกล้ชิดเหมือนอยู่บ้าน

ส่วนน้องจากภาคอีสานติดมา 1 คน ชื่อว่า “น้องจอม” อายุ 9 ปี จาก จ.กาฬสินธุ์ จอมบอกว่าอยากพัฒนาตัวเองให้เป็นคนดี

จากภาคตะวันตกก็ติดมา 1 คน จาก จ.ราชบุรี ชื่อว่า “น้องปันปัน” คนนี้ท่าทางไม่กลัวใคร แถมมีมาดมาก ท่านั่งองอาจราวกับเจ้าอาวาสแก่พรรษาก็ไม่ปาน แถมเวลาพูดก็มีเสน่ห์ด้วยสำเนียงแบบ “ราดรี” ปันปันบอกว่าอยากบวชเพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อ-แม่

อีกคนคือ “น้องเซฟ” อายุ 9 ปี จากภาคกลาง จ.สมุทรปราการ น้องเซฟที่มาบวชเพราะตั้งใจอยากศึกษาธรรมะ

ที่มาจาก กทม. มี 2 คน คือ “น้องตฤณ” อายุ 8 ปี และ “น้องสกาย” อายุ 9 ปี

และมาจากภาคตะวันออก จ.จันทบุรี ส่งเข้าประกวดถึง 2 คน คือ “น้องอังเด” อายุ 9 ปี และ “น้องคิด” อายุ 10 ปี คนนี้เป็นลูกครึ่งไทย-เยอรมัน

 

ตอนที่มติชนสุดสัปดาห์ฉบับนี้วางแผง น้องๆ ได้ไปอยู่ที่วัดสวนโมกข์กันแล้วเพื่อเรียนรู้ในการปรับตัวปรับใจให้พร้อม เรียกว่าเป็นออเดิร์ฟ ก่อนจะถึงเมนคอร์สบวชจริงกันในวันอาทิตย์ที่ 21 นี้ ก็จะได้ครองผ้าเหลืองและฝึกถือศีล 10 ข้อ

5 ข้อนั้นก็คือศีล 5 ที่เราคุ้นเคยกัน อีก 5 ข้อที่สามเณรต้องปฏิบัติคือ ห้ามกินอาหารเย็น ห้ามร้องเพลงเต้นรำสนุกสนาน ห้ามแต่งกายด้วยเครื่องประดับ ห้ามรับเงินทอง และห้ามนอนเตียง

เรื่องที่หลายคนเป็นห่วงคือ “เรื่องงดอาหารเย็น” เพราะเด็กชายวัยนี้กำลังซุกซน ใช้พละกำลังเยอะ ย่อมต้องการพลังงานจากอาหารมาทดแทน ไม่รู้ว่าใครจะมีความอดทนได้แค่ไหน

ต้องติดตามให้กำลังใจกันนะครับ

 

หากตลอด 31 วันนี้ น้องๆ ทั้ง 12 คนสามารถครองตนเป็นสามเณรที่ดี รักษาศีลครบทั้ง 10 ข้อได้อย่างสมบูรณ์ก็ถือว่าน่าชมเชยยิ่ง อย่างน้อยก็รักษาศีลได้มากกว่านักการเมืองหลายคนเลยละ

โดยเฉพาะศีลข้อ “ห้ามโกหก” นี่ สงสัยจะเป็นของแสลงของนักการเมือง เพราะพูดอะไรมาทำไมมันกลับไปกลับมา วกวน เอาดีเข้าตัว เอาชั่วเข้าคนอื่น บางทีก็แถ เถียง ข้างๆ คูๆ บทจะมีหลักการก็มี แต่บางทีก็หลักกูเสียอย่างนั้น

อีกข้อหนึ่งคือ “ห้ามรับเงินทอง” เป็นพระเป็นเจ้ารับเงินรับทองคงไม่งาม

ตรงข้ามกับนักการเมืองที่ต้องอาศัยเงินผ่านมือไปมาเป็นเรื่องปกติ ทั้งเงินที่ใช้ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง จ่ายกันเป็นฟ่อน และเงินที่อาจจะตามมาจากการ “ถอนทุน” หลังจากได้มานั่งในสภาแล้ว นี่ไม่นับว่าอาจจะมีเงินที่ยินดีงับจากที่มีบางพรรคใช้เป็นเหยื่อในการ “ตกเบ็ดในอ่าง” หรือไม่ก็ “ใช้ล่องูเห่า” แฮ่ม

อย่างนี้น่าจะต้องให้มากราบไหว้น้องๆ สามเณรทั้ง 12 รูปเหลือเกิน ค่าที่ครองตัวได้สะอาดผุดผ่องกว่าเป็นไหนๆ

ถ้าจะมีอะไรให้ขอสำหรับนักการเมืองเหล่านี้ ก็จะขอว่า ช่วยกันทำให้การเมืองเป็นเรื่องสะอาด เป็นเรื่องประโยชน์ส่วนรวม เป็นเรื่องจิตสำนึกให้ได้ทีเถิด

ไม่อย่างนั้นจากนี้อีก 8-10 ปี สามเณรน้อยเหล่านี้ที่จะได้มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรก จะได้มีโอกาสเลือกผู้สมัครได้อย่างไม่กระอักกระอ่วนเหมือนที่เป็นมา

ไม่รู้ขอมากไปหรือเปล่า…กุศลา ธรรมา สาธุ