ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 เมษายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
ในเดือนเมษายนนี้ เป็นวันคล้ายวันเกิดและวันเสียชีวิตของศิลปินสมัยใหม่ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในโลกศิลปะ ศิลปินผู้นั้นมีชื่อว่า
มักซ์ แอร์นส์ท (Max Ernst) (2 เมษายน 1891 – 1 เมษายน 1976)
ศิลปินชาวเยอรมัน (โอนสัญชาติเป็นอเมริกันในปี 1948 และฝรั่งเศสในปี 1958) ผู้ทำงานจิตรกรรม, ประติมากรรม ภาพพิมพ์ และบทกวี เขาเป็นสมาชิกรุ่นบุกเบิกของกระแสเคลื่อนไหวทางศิลปะดาดา (Dada) และเซอร์เรียลิสต์ (Surrealism)
เกิดในปี 1891 ที่เมืองบลืล (Bruhl) (ใกล้กับเมืองโคโลญ) ในประเทศเยอรมนี
เขาเติบโตในครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งครัด
พ่อแม่ของมักซ์สอนให้ลูกๆ มีความเคารพยำเกรงในพระเจ้า
แต่ในขณะเดียวกันก็สอนทักษะอันหลากหลายให้
ถึงแม้พ่อของเขาจะเป็นคนหูหนวก แต่เขาก็สอนสิ่งต่างๆ ให้ลูกมากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวาดภาพ
พ่อของมักซ์สอนให้เขาวาดรูปตั้งแต่วัยเยาว์
มักซ์ได้แรงบันดาลใจทางศิลปะจากพ่อของเขาเป็นอย่างมาก
ในปี 1914 เขาเข้าเรียนสาขาปรัชญา ที่มหาวิทยาลัยบอนน์
แต่เขาก็หยุดเรียนไปเพราะสนใจในศิลปะมากกว่า
เขาเรียนรู้ศิลปะด้วยตัวเองโดยไม่เคยผ่านการฝึกฝนหรือเล่าเรียนศิลปะที่ไหนเลย
แต่เขาเองก็ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในยุคก่อนหน้าอย่าง โคล้ด โมเนต์, ปอล เซซานน์ และวินเซนต์ ฟาน โก๊ะห์
และผลงานที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับจินตนาการและจินตภาพจากความฝันของศิลปินรุ่นพี่อย่างจอร์โจ เดอ คิริโก
แอร์นส์ทเคยเป็นทหารร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1
ประสบการณ์อันเลวร้ายจากสงครามก่อให้เกิดบาดแผลต่อจิตใจของเขา
รวมถึงส่งผลต่อแนวคิดพื้นฐานในการทำงานของเขาอย่างมาก
ด้วยการนำความทรงจำเกี่ยวกับสงคราม มาผสมผสานเข้ากับความทรงจำวัยเด็ก
สร้างเป็นผลงานที่หลุดโลก ไร้ตรรกะเหตุผล
เต็มไปด้วยด้วยสีสันและอารมณ์ขันเชิงเสียดสี และต่อต้านขนบธรรมเนียมประเพณีและรูปแบบเดิมๆ ของศิลปะ
และตั้งคำถามต่อความความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งของศิลปะ ด้วยการทำงานที่ไม่มีเรื่องราวชัดเจน ล้อเลียนศรัทธา ท้าทายความเชื่อทางศาสนา
ผลงานเหล่านี้เป็นการกรุยทางให้แก่ศิลปะยุคสมัยใหม่อย่างมหาศาล
เมื่อเขากลับคืนสู่เยอรมนีหลังสงคราม เขากับฌอง อาร์พ (Jean Arp) เพื่อนกวีและศิลปิน ร่วมกันต่อตั้งกลุ่มศิลปินในโคโลญ
และเริ่มสนิทสนมกับกลุ่มศิลปินหัวก้าวหน้าชาวฝรั่งเศส
ในช่วงปี 1920 เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งลัทธิเคลื่อนไหวทางศิลปะเซอร์เรียลิสต์ ที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิดาดาที่มีแนวคิดปฏิเสธความเป็นเหตุผลและจิตสำนึก พวกเขามองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นต้นเหตุที่พาผู้คนไปสู่หายนะ โดยเฉพาะในสงครามโลกครั้งที่ 1
พวกเขาจึงทำงานโดยละทิ้งเหตุผลทั้งมวล แต่ใช้สัญชาตญาณและความบังเอิญ และความเหลวไหลไร้สาระ
ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นอิสระและเสรีภาพ และใช้มันในการกระตุ้นผู้คนให้คิดถึงมุมมองและหนทางใหม่ๆ
โดยนำมาผนวกกับทฤษฎีของนักจิตวิเคราะห์เลื่องชื่ออย่างซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เกี่ยวกับจิตไร้สำนึก หรือสภาพดั้งเดิมของจิตใจที่ไม่มีการควบคุม ไร้การไตร่ตรอง ไร้เหตุผล ที่ถูกระบายผ่านความฝัน และโอบรับแนวคิดทางสังคมฝ่ายซ้ายของมาร์กซิสต์มาใช้
ในปี 1922 เขาย้ายไปอยู่ปารีสซึ่งเป็นแหล่งชุมนุมของศิลปินเซอร์เรียลิสต์ แอร์นส์ทเป็นศิลปินคนแรกที่หยิบเอาทฤษฎีจิตวิเคราะห์และความฝันของฟรอยด์มาสำรวจจิตใจส่วนลึกของตัวเองและนำมันมาใช้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะของเขา
ด้วยการนำเสนอภาพวาดอันแปลกประหลาดพิสดารราวกับความฝัน
เขามีความสนใจอย่างมากในการแปรเปลี่ยนความป่วยไข้ทางจิตใจเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงอารมณ์และความรู้สึกพื้นฐานและความคิดสร้างสรรค์อันเป็นอิสระและถูกปลดปล่อยจากการถูกจองจำ
ในขณะเดียวกัน เขาก็พยายามค้นหาต้นตอของความคิดสร้างสรรค์ และทำให้ศิลปะเป็นอิสระจากจิตใจส่วนลึก ด้วยการหาทางเข้าถึงสภาวะพื้นฐานของมนุษย์ก่อนที่จะรู้ภาษา และปลดปล่อยสัญชาตญาณเบื้องต้นของมนุษย์เพื่อเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
ในช่วงปี 1925 เขาเริ่มต้นทำการทดลองทำงานที่ถ่ายทอดจิตนภาพจากจิตไร้สำนึกของตัวเองออกมา ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคอย่างฟรอททาจ (Frottage) หรือการใช้กระดาษวางบนพื้นผิวของวัตถุต่างๆ อย่างเปลือกไม้ ใบไม้ หรือผ้า แล้วใช้ดินสอหรือแท่งสีฝนจนเกิดเป็นภาพของวัตถุเหล่านั้นขึ้นมา
หรือเทคนิคแกรททาจ (Grattage) หรือการขุดขีดผิวนอกของภาพวาดที่ถูกเคลือบสีทับกันหลายชั้น จนเปิดเผยให้เห็นสีที่ถูกซ่อนเอาไว้ข้างใต้
และเทคนิคดีโคลแมเนีย (Decalcomania) หรือการนำเอากระดาษหรือผ้าใบที่ระบายสียังไม่ทันแห้งมาประกบกันแล้วดึงออกมาจนกลายเป็นพื้นผิวขรุขระแปลกตา
การทดลองและการคิดค้นทางเทคนิคในการทำงานศิลปะของแอร์นส์ทเหล่านี้ นอกจากจะเป็นการสร้างภาพจิตรกรรมหรือภาพวาดลายเส้นที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุที่ไม่ใช่ความจงใจหรือการบังคับควบคุมของศิลปินแล้ว
ยังเป็นการแปรเปลี่ยนวัตถุในชีวิตประจำวันให้เป็นเครื่องมือในการสำรวจจิตสำนึกร่วมของสังคม
ซึ่งกลายเป็นแนวความคิดหลักของกลุ่มเซอร์เลียลิสต์อย่าง Automatism หรือการสร้างงานภายใต้สภาวะอัตโนมัติ ที่เกิดขึ้นเองโดยที่ศิลปินไม่ได้บังคับควบคุม
เทคนิคเหล่านี้ในปัจจุบันได้กลายเป็นเทคนิคพื้นฐานทางศิลปะหรือแม้แต่เป็นการละเล่นทางศิลปะของเด็กๆ ด้วยซ้ำไป
อีกทั้งยังเป็นเทคนิคที่ส่งอิทธิพลอย่างมากต่อกระแสเคลื่อนไหวทางศิลปะแอ็บสแตร็ก เอ็กซ์เพรสชั่นนิสต์ (Abstract Expressionism) ในเวลาต่อมา
ถึงแม้เขาจะเป็นที่รู้จักในหมู่นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ศิลปะมากกว่าจะเป็นที่รู้จักของคนทั่วๆ ไป
แต่เขาก็ส่งอิทธิพลต่อวงการศิลปะรุ่นหลังอย่างมาก ผลงานของเขากลายเป็นรากฐานให้แก่ศิลปินผู้มีความสนใจทางด้านเทคนิคทางศิลปะ, จิตวิทยา และความปรารถนาในการท้าทายและเผชิญหน้ากับจารีตแบบแผน และขนบธรรมเนียมประเพณีทางสังคม
และถึงแม้จะถูกขับออกจากกลุ่ม แต่เขาก็เป็นหนึ่งในศิลปินเซอร์เรียลิสต์คนสำคัญ ผู้มีส่วนสร้างยุคทองของลัทธิเซอร์เรียลิสต์ร่วมกับเพื่อนศิลปินอย่างฆวน มิโร (Joan Miro), ซัลบาดอร์ ดาลี (Salvador Dali) และเรอเน มากริตต์ (Rene Magritte)
หลังจากเสียชีวิตในปี 1976 แต่มรดกทางความคิดและการทำงานของเขาก็ยังคงเป็นต้นธารแห่งแรงบันดาลใจให้ศิลปินไปทั่วโลก
ผลงานของเขาเองก็กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์และตัวแทนของของกระแสเคลื่อนไหวเซอร์เรียลิสต์อย่างปฏิเสธไม่ได้เลย