คำ ผกา | จะอินกับการเมืองเพื่อ?

คำ ผกา

มีใครเป็นเหมือนฉันบ้างว่า ตั้งแต่หลังวันที่ 24 มีนาคมเป็นต้นมา เริ่มมีอาการติดตามข่าวสารระยะประชิด และลุ้นกันทุกวี่ทุกวัน

ตั้งแต่ลุ้นผลการเลือกตั้ง

ลุ้นการทำงานของ กกต.

ที่รั่วจนไม่รู้จะรั่วยังไง โดยเฉพาะกรณีบัตรเสริม บัตรเกินมาห้าล้านกว่าใบ และอีกหลายกรณีร้องเรียน

พ่วงมากับการลุ้น กกต. เราก็ลุ้นเรื่องการนับคะแนนอย่างเป็นทางการ

สลับไปกับการลุ้นว่า จะมีพรรคไหนโดนยุบ โดนลงโทษ

สุดท้ายในท่ามกลางการรู้ผล รู้จำนวน ส.ส.อย่างไม่เป็นทางการ ก็ลุ้นว่า จะเป็นพรรคเพื่อไทย หรือพรรคพลังประชารัฐ ที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

ลุ้นให้สุดๆ ไปอีก เมื่อคะแนน (ที่เรายังไม่แน่ใจว่า มันถูกต้องหรือไม่ โปร่งใสหรือไม่) ผลก็ออกมาว่า พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง พร้อมเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล แต่พรรคพลังประชารัฐก็ประกาศตัวว่าสามารถจะรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้เหมือนกัน

โอ๊ยยยย แล้วแบบนี้เราจะหลับจะนอนกันยังไง?

จิตแพทย์หลายคนเริ่มออกมาให้คำแนะนำเรื่องการคลายเครียด เพราะหลังรู้ผลการเลือกตั้งก็มีหลายอารมณ์ผสมปนเปกันไป

เช่น แฟนคลับพรรคประชาธิปัตย์ก็ช็อก ไม่คิดว่าพรรคที่ตนเองสนับสนุนจะขาลงขนาดนี้

คนเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ก็เซ็งที่พรรคเพื่อไทยได้ที่นั่ง ส.ส.มากเป็นที่ 1 – พยายามล้มพรรคนี้มาเป็น 10 ปี ทำไมพวกควายแดงไม่ไปผุดไปเกิดเสียที

คนเชียร์เพื่อไทยก็เซ็งว่าทำไมเราไม่ชนะถล่มทลาย โกรธทั้งระบบการเลือกตั้งพิสดาร โกรธเรื่องความบกพร่องของ กกต. ที่เราทำอะไรไม่ได้ คาใจเรื่องพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ

ฝ่ายเชียร์อนาคตใหม่ก็นอยด์ว่าพรรคจะโดนแกล้ง โดนยุบหรือเปล่า

ในฐานะของคนที่ไม่ต้องการเห็นการสืบทอดของกลุ่มคนที่มีอำนาจจากการรัฐประหาร

สารภาพว่าฉันก็ใจตุ๊มๆ ต้อมๆ กลัวจะปิดสวิตช์ ส.ว. 250 เสียงไม่ได้

แล้วก็ค่อยใจชื้นเพื่อเห็นพรรคอนาคตใหม่ขยับ พรรคเพื่อไทย อีกหลายๆ พรรค อย่างประชาชาติ เสรีรวมไทย เพื่อชาติ ฯลฯ ลุกขึ้นประกาศว่า ณ วันนี้ ไม่ได้ต้องการตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ต้องการหยุดการสืบทอดอำนาจที่ไม่ชอบธรรมเสียก่อน ไม่อย่างนั้นประเทศไทยไปต่อไม่ได้

ดังนั้น ทุกพรรคการเมืองจะตัดสินใจทุกอย่างบนฐานคิดเรื่องการรักษาประชาธิปไตย อำนาจ และเจตจำนงของประชาชน

ท่ามกลางความอิน ความเศร้า ความตื่นเต้น ความท้อ เสียงถอนหัวใจ การแลกเปลี่ยน ปรับทุกข์ มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยบอกว่า

“ไม่เข้าใจ จะอินอะไรกันนักหนา ใครจะเป็นนายกฯ ก็ไม่เกี่ยวกับเรา ชีวิตเรา ตื่นเช้าก็ต้องไปทำมาหากินเหมือนเดิม”

โอเค ฉันจะยกตัวอย่างง่ายๆ แบบนี้

ช่วงเวลาปิดเทอม ในหลายครั้งเราจะเห็นคุณแม่ต้องพาลูกมาอยู่ในที่ทำงานด้วยไหม?

ฉันไม่มีปัญหาที่เด็กจะมานั่งกับแม่ในที่ทำงาน เพราะโดยมาก แม่ก็อบรมมาดีว่าไม่ให้ไปรบกวนใคร และเด็กส่วนมากก็น่ารัก

แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันเห็นคือ ในขณะที่แม่ทำงาน เด็กๆ อาจจะต้องนั่งเล่นอะไรง่วนอยู่คนเดียวตั้งแต่เกมในโทรศัพท์มือถือ

หรือถ้าเด็กพัฒนาการดีๆ หน่อยก็อาจจะนั่งวาดรูป อ่านหนังสือ

แต่ที่ทำงานก็คือที่ทำงาน เด็กต้องนั่งจับเจ่าอยู่ในที่ร่มทั้งวัน ซึ่งมันดูหดหู่มากสำหรับฉัน

ลองจินตนาการว่า ถ้าเราอยู่ในเมืองที่มีความปลอดภัย ตั้งแต่ความปลอดภัยในการเดินทาง เด็กๆ สามารถปั่นจักรยานไปไหนต่อไหนด้วยตนเองได้

หรือนั่งรถสาธารณะด้วยตนเองอย่างปลอดภัย ในละแวกบ้านชุมชน มีสวนสาธารณะ หรือศูนย์การเรียนรู้ ห้องสมุด หรือพื้นที่อะไรสักอย่างที่ออกแบบมาให้เด็กได้เข้าไปใช้เวลาในนั้น

เด็กชอบอ่านหนังสือก็อ่าน เด็กชอบดูหนังก็เข้าไปดูหนัง ที่อาจจัดเป็นแท็บเล็ตมีอินเตอร์เน็ตฟรี มีการคัดสรรหนังสำหรับเด็กอย่างหลากหลาย เป็นบริการให้เด็กได้ดูฟรี

เด็กที่อยากฟังเพลงก็มีที่ฟังเพลง

เด็กชอบกระโดดก็มีที่ให้กระโดด อยากดูงานศิลปะ วาดรูป ปั้นดิน พับกระดาษ ฯลฯ

พื้นที่สำหรับเด็กจะไม่ใช่ห้องสมุดอย่างเดียว แต่เป็นพื้นที่อันมีเจ้าหน้าที่เป็นภัณฑารักษ์ ดูแล จัดกิจกรรม สรรหาสรรพสิ่งอันน่าสนใจมาไว้ในที่ที่หนี่งให้เด็กที่มีความสามารถ ความสนใจอันหลากหลายเข้าไปอยู่ ไปกิน ไปใช้เวลา ไปเล่นอยู่ในนั้นได้ ระหว่างที่พ่อแม่ไปทำงาน

แค่นี้แหละ คิดดูสิ พ่อแม่ก็ทำงานได้เต็มที่ เด็กก็ไม่ต้องไปจับเจ่าอยู่ในที่อันจำกัดทั้งวี่ทั้งวันจนตัวซีด เพราะแม่ก็ไม่กล้าทิ้งไว้ที่บ้าน จะเอาไปไว้ที่ไหนก็ไม่มีที่ไว้

แต่ถ้ามีสถานเรียนรู้ กระตุ้นพัฒนาการของเด็กแบบนี้อยู่ในย่านต่างๆ ของเมือง เราจะมีเยาวชน มีเด็กที่เติบโตมาอย่างมีคุณภาพอีกเท่าไหร?

แล้วเราจะมีสิ่งเหล่านี้ก็ต่อเมื่อเรามีผู้นำประเทศที่ทำงานตอบสนองความต้องการของประชาชนจริงๆ

มีวิสัยทัศน์ มีความสามารถ

แล้วอย่างนี้ เรายังจะพูดได้ไหมว่า ใครมาเป็นนายกฯ ก็เหมือนกัน เพราะก็ต้องตื่นไปทำมาหากินเหมือนเดิม คิดต่ออีกนิดเดียว ถ้าเรามีรัฐบาลที่เอาประชาชนเป็นศูนย์กลางในการทำงาน คุณภาพชีวิตเราจะดีขึ้นอีกขนาดไหน

อีกเรื่องที่คนพูดกันมากว่า เมืองทำให้เราอ้วน จน และโสด

เราอ้วน เพราะเราต้องตื่นแต่เช้าไปทำงาน เพราะรถติดมาก นั่นทำให้เราต้องฝากท้องไปกับอาหารร้านสะดวกซื้อ อาหารข้างทาง อาหารตามสั่ง ฟาสต์ฟู้ด ที่ไขมันสูง น้ำตาลสูง โซเดียมสูง มีทรานส์แฟต

มันอาจทำให้เราต้องกินข้าวหมูปิ้ง ข้าวไข่เจียว ไก่ทอด เป็นอาหารเช้าซ้ำๆ วนๆ ไป กว่าจะกลับบ้านก็ต้องซื้อแกงถุงไปกินเพราะรถติด จากนั้นก็ต้องรีบอาบน้ำ นอน เพราะต้องตื่นเช้า วนไปวนมาแบบนี้

ผลคือ เรากลายเป็นคนไขมันสูง น้ำตาลสูง หรืออาจจะต้องอ้วนไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

จะออกกำลังกายที่ไหน?

ถามว่า ประเทศไทยมีสัดส่วนสวนสาธารณะต่อประชากรมากพอไหม?

อยากเดิน อยากปั่นจักรยาน ก็ไม่มีทางเดิน ทางปั่นที่ปลอดภัย

เจอภาวะฝุ่นพิษ pm 2.5 ไปปีละสามเดือน

ต้องสวมหน้ากาก ขังตัวเองไว้ในบ้าน แล้วจะได้ออกไหมกำลังกาย ไปฟิตเนส ก็เดือนละสาม-สี่พัน – ใช่เรามีปัญญาจ่าย

แต่ลองคิดในทางกลับกันว่า ถ้าเราเปลี่ยนเงินสามพันต่อเดือนเป็นเงินออม เราจะออมได้ปีละเท่าไหร่

เราจะเปลี่ยนเงินออมเป็นเงินลงทุนให้งอกเงย เป็นความมั่นคงในชีวิตยามชราของเราได้อีกเท่าไหร่?

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราต้องเอาเงินที่ควรเป็นเงินออมของเราไปทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ไปจ่ายค่าฟิตเนส ไปสั่งอาหารคลีนมากิน ในยามที่เรารู้สึกว่าร่างกายพังแล้ว

และด้วยสภาวะทั้งหมดนั้น ถามว่า เอาเวลาที่ไหนไปมีแฟน

เอาโอกาสที่ไหนไปเจอคนที่อาจจะกลายเป็นคู่ชีวิตของเรา

เมืองทุกเมืองในประเทศไทย ไม่มีการออกแบบให้รื่นรมย์ โรแมนติก ไม่มีสุนทรียะให้คนอยากตกหลุมรัก

เมืองเต็มไปด้วยความแข็งกระด้าง สกปรก ไม่มีหรอก ทางเดินริมแม่น้ำ ลมเย็นๆ ดอกไม้สวยๆ หรือสักจุดหนึ่งของเมืองที่คนจะได้เดินแล้วเห็นสีของท้องฟ้า เห็นพระอาทิตย์ เห็นพระอาทิตย์ตก

เพียงแค่นี้ก็พอจะนึกออกว่า ทำไมเราถึงโสด อ้วน และจน

ถ้าเพียงแต่เราจะมีรัฐบาล มีผู้บริหารเมืองที่ทำงานเป็น เมืองคงดีกว่านี้ ชีวิตเราคงดีกว่านี้ – เมื่อรู้แล้วยังจะพูดอีกไหมว่า ใครเป็นนายกฯ ชีวิตกูก็เหมือนเดิม

ลองถามตัวเองดูดีๆ ว่า ในชีวิตหนึ่ง ในฐานะพลเมืองของรัฐผู้เสียภาษีเข้ารัฐทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่ vat ยันภาษีเงินได้ เราอยากอยู่ในเมืองแบบไหน เราอยากมีชีวิตแบบไหน?

อยากมีโรงเรียนดีๆ ใกล้บ้าน ลูกเดินไปโรงเรียนได้อย่างปลอดภัยไหม?

อยากมีสวัสดิการสำหรับการรักษาพยาบาลแบบถ้วนหน้าไหม?

อยากมีระบบการศึกษาที่ส่งเสริมศักยภาพของเด็กอย่างหลากหลาย และทันโลกไหม?

อยากมีการศึกษาดีๆ แบบฟินแลนด์ ที่เด็กคือศูนย์กลางของห้องเรียน และสามารถแสวงหาความรู้ด้วยตนเองไหม?

อยากมีโรงเรียนแบบที่ส่งเสริมให้เด็กมีอิสรภาพในการค้นพบตัวเองไหม แทนการท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองไหม?

อยากให้ลูกถูกเกณฑ์ทหารไหม?

อยากมีถนนที่ดี ปลอดภัย ป้ายไฟ สัญญาณการจราจรชัดเจน ออกแบบวิศวกรรมการจราจรจนอุบัติเหตุลดลงได้ร้อยละ 50 ไหม?

อยากดมฝุ่นพิษ pm 2.5 จนเป็นมะเร็งปอดเพราะรัฐทำได้แค่เอารถมาพ่นน้ำให้เป็นโคลนไหม?

อยากมีรถไฟรางคู่ที่สามารถเดินทางไปจังหวัดต่างๆ ได้อย่างรื่นรมย์ ปลอดภัย อบอุ่น โรแมนติก

มีงบฯ น้อยก็สามารถจัดเที่ยวเมืองรองยกครอบครัวด้วยรถไฟ กระชับความรัก ความอบอุ่นในบ้าน พร้อมสร้างเศรษฐกิจ เงินหมุนเวียนคึกคักทั้งประเทศไหม?

อยากติดต่องานราชการแบบรวดเร็ว ฉับไว กระชับ ไม่ต้องจ่ายใต้โต๊ะ ไม่ถูกเรียกสินบนไหม?

อยากมีขนส่งสาธารณะคุณภาพดี ราคาถูกเหมือนกันหมดทั้งประเทศไหม?

อยากเข้าถึงผัก ผลไม้ที่ปลอดภัย ไร้สารพิษ หรืออยากกินผักกินน้ำปุผสมพาราควอต?

สุดท้าย อยากเป็นพลเมืองเจ้าของประเทศ หรืออยากเป็นประชากรชั้นสอง ภายใต้รัฐราชการอันใหญ่โตเทอะทะ เต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่น เส้นสาย พวกพ้อง ติดต่อราชการทีต้องเอามือกุมไข่ โค้งตัว ย่อตัว แบกกระเช้าผลไม้แพงลิบจากญี่ปุ่น เกาหลีไปเซ่นไหว้ ไม่งั้นงานไม่เดิน

รู้อย่างนี้ ยังจะพูดไหมว่า ใครมาเป็นนายกฯ พรุ่งนี้กูก็ตื่นไปทำมาหากินเหมือนเดิม

ท้ายที่สุดอีก เราจำเป็นต้องอินกับการเมือง เพราะนี่คือชีวิตของเรา อนาคตของเรา อนาคตของลูกหลานของเรา และเพื่อนร่วมชาติของเราที่เขาอาจจะไม่ “แข็งแรง” หรือมีโอกาสในชีวิตเท่ากับเรา

ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ความฝันของเรา ไม่ใช่อยากมีชีวิตดีๆ ท่ามกลางความอดอยาก ยากจนของคนอื่น ในฐานะมนุษย์เราไม่อยากขึ้นสู่ยอดเขาโดยการเหยียบศพคนอื่นขึ้นไป

ในฐานะมนุษย์ เราอยากเห็นว่า แม้แต่คนที่อยู่ชายขอบที่สุดก็สามารถเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ได้ “มาตรฐาน” เป็นอย่างน้อย ย้ำว่า เป็นอย่างน้อย

และนั่นแหละ ที่จะทำให้เราสามารถอิ่มฟูกับความสุขสบายเกินมาตรฐานของเราได้

และทั้งหมดนี้มันทำให้เราต้องอินกับการเมือง และเอาใจช่วยให้เกิดการฟื้นฟูประชาธิปไตยในประเทศของเราโดยเร็ว

เพราะมันเป็นระบอบเดียวที่จรรโลงความเป็นมนุษย์ของทุกคนในสังคมเอาไว้ในขณะที่เผด็จการกระทำให้สิ่งที่ตรงกันข้าม