ในโลกยุคใหม่ที่ “คำสัญญา” มิได้ล่องลอยอยู่ในอากาศ

แต่อยู่ใน Google

ค้นเมื่อไรก็เจอ

พูดเมื่อไร พูดอย่างไร

“อดีต” จะไล่ล่าทันทีหากบิดพลิ้วจาก “คำสัญญา”

นั่นคือเหตุผลสำคัญที่พรรคพลังประชารัฐต้องเดินเกมทุกรูปแบบให้จำนวน ส.ส.ที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี

เกินกว่า 250 เสียง

แทนที่จะใช้ ส.ส.แค่ 126 เสียงผนึกกำลังกับวุฒิสมาชิก 250 เสียง ยึดเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” ไว้ก่อน

จากนั้นค่อยดึง ส.ส.พรรคอื่นๆ มาร่วมรัฐบาล

เหตุที่ต้องรวบรวม ส.ส.เกิน 250 เสียงให้ได้ตั้งแต่เริ่มต้นไม่ใช่เพราะพรรคพลังประชารัฐสัญญากับประชาชน

แต่เป็น “เงื่อนไข” ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

เป็น “คำสัญญา” ต่อหน้าประชาชนที่หนักแน่น

และชัดเจนยิ่ง

ช่วงเลือกตั้ง เว็บไซต์ของพรรคภูมิใจไทยลงคำสัมภาษณ์ของ “อนุทิน” เมื่อวันที่ 6 มีนาคม

“แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่พรรคภูมิใจไทยจะสนับสนุน ต้องมาจากเสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎร

เราไม่ยอมให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มาจากประชาชนมาเป็นผู้กำหนด เรารับไม่ได้ที่จะให้คนที่ไม่ได้มาจากประชาชนมาเลือกนายกฯ

และไม่เห็นด้วยกับการที่ให้ 250 ส.ว.มาโหวตเลือกนายกฯ

รวมถึงการเป็นนายกฯ เสียงข้างน้อยที่มีคะแนนปริ่มๆ ประเทศจะเสียหาย”

และวันที่ 13 มีนาคม “อนุทิน” ให้สัมภาษณ์ขยายความอีกครั้ง

“พรรคภูมิใจไทยขอให้ใช้กติกาคือ นายกรัฐมนตรีต้องได้รับฉันทานุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรเกินกึ่งหนึ่ง

ซึ่งหากเสียงเกินกึ่งหนึ่งแล้วก็ขอให้สมาชิกวุฒิสภาทำตามมติของสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากเสียงของประชาชน เพราะผ่านการเลือกตั้งเข้ามา

โดยเมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกใครมาเป็นนายกฯ แล้วก็น่าจะเป็นคนคนนั้น ไม่ใช่ใช้วิธีหรือกระบวนการอื่นมาบิดพลิ้ว

ถ้าทำอย่างนั้นก็จะไม่ใช่หลักการประชาธิปไตย”

…ชัดเจน

ด้วย “คำสัญญา” ที่หนักแน่นและชัดเจน

เกมการตั้งรัฐบาลของ “พลังประชารัฐ” จึงหืดขึ้นคอ

251 เสียงไม่ใช่เรื่องง่าย

ต่อให้เล่นเกม “งูเห่า” ก็ตาม

ภาพคู่ของ “อนุทิน” กับ “กรณ์ จาติกวณิช” แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ที่อังกฤษจึงมี “ความหมาย” อย่างยิ่ง

2 พรรค 107 เสียง จะกลายเป็น “ขั้วใหม่” ทันที

เป็น “ทางสายกลาง” ที่พรรคเพื่อไทย-อนาคตใหม่ และพันธมิตรฝั่งประชาธิปไตยขยับหมากได้ง่ายขึ้น

ถ้าเลือกแนวทาง “ยุติการสืบทอดอำนาจของ คสช.” เป็นลำดับความสำคัญสูงสุด

เกมการเมืองจะพลิกทันที