ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 เมษายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
สุจิตต์ วงษ์เทศ
ไทยไม่มนุษย์ต่างดาว
มีประวัติศาสตร์ร่วมอุษาคเนย์
“ไทยไม่เหมือนใครในโลก”
ถ้าจริงอย่างที่คนชั้นนำไทยชอบยกตนอวดอ้าง ไทยก็ต้องแปลกแยกเป็นมนุษย์ต่างดาว
ในความจริงแล้วไทยไม่ต่างจากเพื่อนบ้านอุษาคเนย์ เพราะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน มีความเป็นมาร่วมกัน
ไทย เป็นชื่อทางวัฒนธรรม มีขึ้นจากการหล่อหลอมคนหลายเผ่าพันธุ์นับพันๆ ปีมาแล้วทางภาษาและประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ จนกลายตนเป็นไทย
ไทย ไม่ใช่ชื่อเชื้อชาติ เพราะเชื้อชาติไม่มีจริงในโลก แต่เป็นสิ่งสร้างใหม่ในยุโรปแล้วใช้ล่าเมืองขึ้น และใช้ทางการเมืองฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
คนไทยไม่มาจากไหน? แต่เป็นคนลูกผสมนานาชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” อยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์ โดยมีบรรพชนร่วมและวัฒนธรรมร่วม กับคนอุษาคเนย์หลายพันปีมาแล้ว
- ไม่มาจากอัลไต ซึ่งเป็นแนวคิดสมัยอาณานิคม โดยลอกแบบอารยันอพยพจากทิศเหนือลงใต้
- ไม่เชื้อชาติบริสุทธิ์ เพราะเชื้อชาติเป็นสิ่งสร้างใหม่จากยุโรป เพิ่งเข้าไทยราว 100 ปีที่แล้ว แต่แท้จริงไทยเป็นลูกผสมนานาชาติพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยก่อนมีสงครามกวาดต้อนผู้คนเข้ามาเป็นประชากร (ไม่ยึดครองดินแดน) จึงยิ่งผสมผสานร้อยพ่อพันแม่
- ไม่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง เพราะอยู่กึ่งกลางอุษาคเนย์ คุ้นเคยคนแปลกหน้านานาชาติพันธุ์ไปมาค้าขายทั้งจากตะวันตกและตะวันออก มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงสูงมากทางสังคมและวัฒนธรรม นานเข้าก็ผสมกลมกลืนจนทุกวันนี้เรียกวัฒนธรรมไทย
ประวัติศาสตร์ร่วมอุษาคเนย์
ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาทั้งของพื้นที่ (ดินแดน) และผู้คน (ประชากร) เป็นส่วนหนึ่งที่แยกไม่ได้จากอุษาคเนย์ ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์หลายพันปีมาแล้ว (ยังไม่มีเส้นกั้นอาณาเขต) สืบเนื่องไม่ขาดสาย จนถึงสมัยปัจจุบัน ซึ่งมีผู้คนทั้งไทยและไม่ไทยหลายชาติพันธุ์อยู่เคล้าคละปะปนกัน
ผู้คนพลเมืองในชีวิตประจำวันพูดภาษาตระกูลต่างๆ กัน ได้แก่ มอญ-เขมร, ชวา-มลายู, ม้ง-เมี่ยน, จีน-ทิเบต เป็นต้น โดยใช้ตระกูลภาษาไต-ไท เป็นภาษากลาง
ด้วยเหตุผลทางการค้าภายในภาคพื้นทวีป ผลักดันภาษาและวัฒนธรรมไต-ไท มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ ดึงดูดคนในตระกูลภาษาต่างๆ อยู่ในอำนาจของภาษาและวัฒนธรรมไต-ไท แล้วกลายตนเป็นไทย (ปรับปรุงจากคำอธิบายของ นิธิ เอียวศรีวงศ์)
ความเป็นไทยมีแรกเริ่มในรัฐอยุธยาจากคนนานาชาติพันธุ์ ลักษณะประสมประสานหลายเผ่าพันธุ์ สอดคล้องกับประวัติศาสตร์สยามในพระราชดำรัสของ ร.5
พระราชดำรัส ร.5 ประวัติศาสตร์สยาม
ร.5 ทรงแนะแนวทางประวัติศาสตร์สยามไว้ในพระราชดำรัส ทรงเปิด “โบราณคดีสโมสร” เมื่อ พ.ศ.2450
[112 ปีมาแล้ว สมัยนั้นยังไม่มีศัพท์ว่าประวัติศาสตร์ ดังนั้น คำว่าโบราณคดี มีความหมายเดียวกับคำว่าประวัติศาสตร์]
มีสาระสำคัญว่าเริ่มที่รวบรวมประวัติศาสตร์เมืองสำคัญทุกแห่งในพระราชอาณาเขตประเทศสยาม ไม่ว่าเป็นชาติพันธุ์ใด, สมัยไหน ซึ่งบางแห่งย้อนหลังกลับไปได้นับพันปี โดยทรงจำแนกชัดเจนว่าประวัติศาสตร์ต้องไม่ใช่พระราชพงศาวดาร
บางตอนในพระราชดำรัสของ ร.5 มีดังนี้
“กรุงสยามเป็นประเทศที่แยกกันบ้างบางคราว รวมกันบ้างบางคราว ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินผู้ที่ปกครองก็ต่างชาติกันบ้าง ต่างวงษ์กันบ้าง”
“เราจะค้นหาข้อความเรื่องราวของประเทศสยาม ไม่ว่าเมืองใดชาติใดวงษ์ใดสมัยใด รวบรวมเรียบเรียงขึ้นเป็นเรื่องราวของประเทศสยาม”
[จากหนังสือ 111 ปี โบราณคดีสโมสร สมาคมโบราณคดี พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2561 หน้า 17-22]
ครูบาอาจารย์นักวิชาการในสถาบันการศึกษาและหน่วยราชการเกี่ยวข้องทางประวัติศาสตร์โบราณคดี ควรร่วมกันทบทวนอย่างถ่องแท้ในพระราชดำรัส ร.5 แล้วชำระสะสางประวัติศาสตร์แห่งชาติให้อยู่ในร่องในรอยมีหลักฐานวิชาการรองรับหนักแน่น
ถ้าไม่ทำ ผมก็ต้องเขียนซ้ำอย่างนี้ไม่สุดสิ้นดินฟ้าจนกว่าจะเปลี่ยนไป ตามภาระหน้าที่ของสื่อสาธารณะ
ประวัติศาสตร์แห่งชาติ
ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยวิปริตผิดพลาดคลาดเคลื่อน โดยกีดกันคนไม่ไทย (ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่) ออกไปพ้นๆ เพราะหลงเชื่อว่ามีจริงเรื่องชนชาติไทย “เชื้อชาติไทย” ตามที่เจ้าอาณานิคมยุโรปครอบงำไว้นานมากกว่า 100 ปีมาแล้ว
ประวัติศาสตร์ไทยเป็นเส้นเดี่ยวต่อเนื่องจากเหนือลงใต้ ซึ่งมีราชธานีไทยเป็นศูนย์กลาง เริ่มต้นที่อาณาจักรสุโขทัย ราชธานีแห่งแรก แล้วตามด้วยกรุงศรีอยุธยา, กรุงธนบุรี, กรุงรัตนโกสินทร์ โดยขาดประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ล้วนเป็นประวัติศาสตร์แต่งใหม่ “กึ่งนิยาย” เพื่อรับใช้การเมืองของรัฐไทยสมัยใหม่และสถาบันหลัก
[มีข้อมูลและแนวคิดอีกมากในหนังสือ ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย ของ ธงชัย วินิจจะกูล สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2562]