ทราย เจริญปุระ | นักสืบ “วัยทอง” ส่อง “บูธหนังสือ” ที่ “คนรุ่นใหม่” เข้า

ตลกมาก (ประชด) ที่ผ่านไปจะครึ่งเดือนแล้ว ผลเลือกตั้งก็ยังไม่ออก

จริงๆ อยากจะด่า อาฆาต และสาปแช่งทุกๆ คนที่อยู่ในกระบวนการเล่นกล เล่นเอาเถิดเจ้าล่อ เล่นบ้าเล่นบอกับการเลือกตั้งครั้งนี้ให้เกิดความวิบัติต่างๆ แก่ชีวิต

แต่คิดๆ ไปก็ขี้เกียจ สู้เอาเวลาไปดูแลตัวเอง ไปกินดีๆ พักผ่อนดีๆ เก็บเงินออมเงิน อยู่ดูหน้าคนไปเรื่อยๆ ดีกว่า

เพราะฉันเชื่อว่า ที่มีฉันหน้าแป้นอยู่บนโลกนี้ ก็เป็นหนามยอกอกใครต่อใครไม่น้อย

ยิ่งพวกเชื่อว่าคนเลวเช่นฉันไม่ควรจะได้พานพบสิ่งดีๆ ในชีวิตก็คงจะขัดเคืองไม่ใช่น้อย ที่ฉันก็ยังอยู่ดีมีสุข

บ้างก็บอกว่า ไอ้โรคประจำตัวฉันนี่แหละ คือการลงโทษของฟ้าดินต่อคนเลว

อือ ก็เลวกันเกือบครึ่งประเทศแหละถ้าอย่างนั้น

แถมบางคนที่เห็นเป็นข่าวบ้าง อยู่ในแวดวงคนรอบตัวฉันบ้าง ดูแล้วป่วยไข้หนักไปกว่าฉันเสียอีก แถมยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วยซ้ำ

ก็ไม่รู้โดนใครแช่งด่ามาแบบฉันหรือเปล่า

ถ้าจะโดนแช่งกันทั้งจำนวนประชากรที่ป่วยซึมเศร้ามาแบบนี้ เห็นทีจะต้องยุบแผนกจิตเวชแล้วตั้งศาลเพียงตาไหว้ฟ้าดินไปเสียเลย

ครั้นหันมาอ่านแต่ละข่าวที่พรั่งพรูกันออกมาช่วงนี้ก็ทอดถอนใจ เพราะล้วนเต็มไปด้วยความดาวสยามสิ้นดี

เหมือนว่าสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปในประเทศ ก็คือพรรค พคท.ไม่มีอีกแล้วอย่างเป็นทางการ แต่องค์ประกอบ ตัวแปร การวางแผนอะไรใดๆ ยังคงแช่แข็งอยู่ในยุคก่อนนโยบาย 66/23

เรียกว่ายังไปไม่พ้นป่ากันเลยพี่น้อง

เหมือนฉันมีชีวิตในมิติคู่ขนานกับมนุษย์บางกลุ่ม ซึ่งฉันเคยได้บอกกับเพื่อนเหมือนกัน ว่าเป็นกลุ่มคนที่น่าเป็นห่วง เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ อารมณ์รุนแรงมากมาย

ไม่ๆ, ไม่ใช่วัยรุ่นสิ

วัยทองต่างหาก

กลายเป็นเหล่าเกรียนคีย์บอร์ดดูมีสติกว่าเหล่าวัยทองคีย์บอร์ดอยู่หลายช่วงตัว อาจจะเพราะเราล้วนเติบโตมาพร้อมๆ กับการระเบิดอย่างยิ่งใหญ่ของข้อมูลข่าวสาร (ขอใช้คำว่าเรา เพราะฉันก็ยังพร้อมจะกูเกิลหาข้อมูล และดับเบิลเช็กข่าวต่างๆ) เราเรียนรู้ว่าข่าวนั้นปั้นกันง่ายๆ มั่วๆ ทำเอาขำ ทำเอาดัก และทำเอาตลกกันได้ง่ายดายเพียงใด

แต่ผู้ใหญ่เขาไม่รู้

หรือรู้แล้วก็คงไม่อยากจะเชื่อกระมัง เหมือนกับนึกไม่ออกว่าถ้าไม่จริง เขาจะทำขึ้นมาเพื่ออะไร

มีทั้งอาวุโส มีทั้งเงิน มีทั้งความเป็นพ่อแม่ หรือเป็นใหญ่อยู่ในกรุ๊ปไลน์ครอบครัวแค่นั้นก็เพียงพอต่อการหน้ามืดในอำนาจแล้ว

อย่าขัดใจ ไม่ชอบ

เลยดูเหมือนเป็นการปะทะกันระหว่างช่วงวัยและวัฒนธรรมสิ่งรอบตัวไปแล้ว

กูเกิลต้องสู้กับกรุ๊ปไลน์

ซึ่งก็อีก, บอกได้ก็บอก บอกไม่ได้ฉันก็ปล่อย

หันมากินวิตามินและผูกเชือกรองเท้าวิ่งต่อ

เพราะดูเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์และมีสติกว่ามาก

อย่างนั้นฉันก็จะไม่พูดเรื่องเลือกตั้งหรือเรื่องบ้าๆ บอๆ นี้ล่ะ พูดเรื่องจรรโลงใจดีกว่า

เอาเรื่องงานหนังสือเป็นไง

งานหนังสือที่เพิ่งหมดไปหมาดๆ ตอนต้นเดือนนี้ นับเป็นครั้งส่งท้ายที่จะจัดขึ้นในศูนย์สิริกิติ์ เพราะเดี๋ยวเขาจะปิดซ่อมบำรุง เลยต้องมีอันโยกย้ายไปจัดกันย่านปริมณฑล

ดูๆ ไปแล้วการย้ายที่นี่ออกจะเข้าทางฉัน เพราะวัดระยะกันแล้ว อยู่ใกล้บ้านกว่าศูนย์สิริกิติ์พะเรอเกวียน

แต่เอาเข้าจริงก็ใจหายและไม่ได้ง่ายอย่างที่ควรเป็น เพราะไปพระราม 4 มาเป็นสิบปี อยู่ๆ ย้ายโครมมาตรงนี้ บอกได้เลยว่าไม่ชิน

ไม่ชินที่จอดรถ ไม่ชินการเดินทาง ไม่ชินการตั้งบูธ

และกับคนขี้เกียจอย่างฉัน ความไม่ชินนี้ก็มากพอที่จะกำหนดแผนการได้ ว่าจะไปหรือไม่ไป

เห็นใจก็แต่น้องๆ หรือครอบครัวที่ไม่สะดวกเดินทาง เพราะอีห้องหอที่จะไปจัดนี่นอกจากจะไกลแล้ว ยังไม่มีระบบขนส่งดีๆ ไปถึง

ศูนย์สิริกิติ์นี้ลงสถานีรถไฟใต้ดินแล้วก็เดินมาโผล่กลางงานได้เลย

ขณะที่เมืองทองนั้นอาศัยรถรับจ้างเป็นหลัก ซึ่งก็ใช่จะหาง่าย และพอหาได้แล้วก็ใช่ว่าจะยอมบริการ ถนนก็ทำเป็นหลุมบ่ออยู่ไม่รู้แล้ว พอลมหอบฝนมาซักห่านึงก็ท่วมพื้นเจิ่งนอง

งานหนังสือนั้นเหมือนงานเช็งเม้งหรือรวมญาติสำหรับฉัน

ไปตั้งแต่ยังเป็นคนอ่าน จนฉันมาเป็นคนเขียน ไปทีก็ต้องทักทายกันให้ครบหน้า หน้าเดิมก็มี หน้าใหม่ก็มาก ทั้งคนเขียนและคนขาย คนอ่านก็มีที่ตามกันมาตลอดจนอุ้มลูกมาซื้อกันแล้ว เจอกันก็ได้กระชับมิตรพูดคุยแลกเปลี่ยน เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในชีวิตของคนนั้นคนนี้

ไปจนจำได้ว่าห้องน้ำอยู่ตรงไหน กินอะไรดี

ก็ใช่ว่าอาหารจะอร่อยเลื่องลืออะไร แต่ก็เป็นอารมณ์กินได้ปีละครั้งเหมือนขนมเข่งหรือขนมเทียนแบบนั้น

ความคุ้นชินแบบนี้มันก็อบอุ่นใจดี

พอเปลี่ยนขึ้นมาแบบนี้ฉันเลยกลายเป็นป้าแก่ๆ ที่มาพูดถึงความหลังอยู่นี่

แต่ก็ไม่แน่, โลกเราเปลี่ยนได้ทุกวัน ฉันจะไปกังวลอะไรล่วงหน้ามากมาย

อย่างปีนี้, บูธฟ้าเดียวกันที่ปกติแสนจะลับแล มีแต่คนหน้าซ้ำๆ กันทั้งคนเขียนและคนอ่านก็พลันกลับเป็นป๊อปปูล่าร์จากกระแสข่าวการเมือง ทำเอาวัยรุ่น (นั่นแหละ พวกเด็กๆ ที่ถูกหยันว่ามันจะไปรู้อะไรนั่นล่ะ) มาหาซื้อหนังสือที่ตกเป็นข่าวไปอ่านกันจ้าละหวั่น

บูธไลต์โนเวลของเพื่อนฉันนั้นเพิ่มปริมาณการขายขึ้นไปได้ถึง 150% หนังสือความรู้ที่แปลจากนักวิชาการไทย/เทศมีให้อ่านมากมาย และได้รับความสนใจจากวัยรุ่นอย่างยิ่ง

เห็นแล้วก็ยิ้มปริ่มใจ ว่าโลกต่อไปในมือวัยรุ่นยังคงมีความหวังอยู่เสมอ

แวะมาบ่นเป็นยายแก่ที่ติดตังอยู่ในความหลังนี้ก็ไม่ใช่เพราะอะไร แต่จะบอกว่านวนิยายนักสืบแสนรักของฉัน เรื่องที่เป็นความอบอุ่นในยามคืน เป็นเสื้อชูชีพให้ฉันวันที่อารมณ์โถมท่วม เป็นเครื่องรางที่ฉันอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างสบายใจว่าความตายและปฏิบัติการต่างๆ จะไม่เปลี่ยนแปลง ได้ออกฉบับแปลล่าสุดมาแล้ว

นั่นก็คือหนังสือชุดนักสืบเกเบรียล อัลลอน เล่มที่ 16

ก็ออกจะเข้าสมัยอยู่กับช่วงนี้ที่มีข่าวว่าสาวๆ หลายคนที่เคยสมัครใจไปอยู่ร่วมกับกลุ่ม ISIS พากันขอทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน

เพราะในเล่มเล่าถึงปฏิบัติการของไอซิสที่ใช้ผู้หญิงยุโรปที่มาเข้ากลุ่มเป็นผู้ปฏิบัติการ

และตัวอัลลอนเองนอกจากจะมีลูก (อีก) แล้ว ก็ยังเลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้อำนวยการองค์กร

เหมือนฉันโตตามเขาขึ้นมา ผ่านความขมขื่นจากความทรงจำมาเช่นกัน ผ่านบางความรุนแรงทางจิตใจ ผ่านบางความหมกมุ่น และเริ่มคลี่คลายไปพร้อมๆ กัน

หนังสือเล่มนี้ออกมาวันสุดท้ายของงานพอดี

ก็ถือว่าเป็นเรื่องพิเศษอย่างยิ่ง ที่ฉันได้อ่านชีวิตเก่าของชายคนนี้ในเล่มล่าสุด พร้อมกับวันปิดตัวของสถานที่ที่ฉันได้ซื้อเรื่องของเขามาอ่านตลอดเวลาที่ผ่านมา

แบบนี้ล่ะนะ ที่เรียกได้ว่าความทรงจำดีๆ ทั้งสถานที่และผู้คน

ก็ดีกว่าไอ้เรื่องรอบตัวในตอนนี้ก็แล้วกัน

“ม่ายทมิฬ” (Black Widow) หนังสือเล่มที่ 16 ในชุดนักสืบเกเบรียล อัลลอน เขียนโดย แดเนียล ซิลวา แปลโดย ขจรจันทร์ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 โดยสำนักพิมพ์ไครม์แอนด์มิสทรี ในเครือบริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด, มีนาคม 2562