ดารากับการเมือง สำรวจพฤติกรรมคนบันเทิงไทย มีท่าทียังไงในช่วง “เลือกตั้งแรง” – การเมืองร้อน!

อุณหภูมิทางการเมืองไทยไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนคลายลงได้แม้แต่น้อย ตั้งแต่ปี่กลองดังขึ้นช่วงก่อนและหลังเลือกตั้งมาจนถึงทราบผล (อย่างไม่เป็นทางการ)

มีกรณีมากมายในทางการเมือง เป็นเรื่องให้ถกเถียง สยบยอม หรือทำอะไรไม่ได้กับการกระทำบางหน่วยงานที่อาจเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามและความสงสัยปะปนอยู่

แน่นอนว่าศึกเลือกตั้ง 2562 โซเชียลมีเดียเป็นที่แจ้งเกิดและเหมือนเวทีประกาศตนอะไรสักอย่างในทางการเมืองครั้งนี้อย่างเข้มข้น

รวมถึงเป็นการสร้างเครื่องหมายการค้าประทับบนหน้าตาไปแบบลบไม่ออกให้กับหลายๆ คนที่โพสต์ หรือแชร์ หรือแม้กระทั่ง “ถูกดัก” ด้วยข้อมูลจริงบ้างเท็จบ้างปนๆ กันไป อยู่ที่ใครจะมีภูมิต้านทานที่ดีกว่ากัน

ศิลปิน-ดารา หรือผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงก็เช่นกัน หลายคนเลือกใช้โซเชียลมีเดียเพื่อแสดงออกทางการเมืองอย่างโจ๋งครึ่ม หรือแสดงความคิดความอ่านอย่างเต็มที่

ยิ่งช่วงหลังๆ นี้ หนึ่งในบุคคลที่หลายคนสนใจและต่างจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวคือ อุ๊-หฤทัย ม่วงบุญศรี นักร้องชื่อดัง และอดีตเคยเป็น ส.ข.พรรคประชาธิปัตย์ ที่เจ้าตัวลงทุนไปนั่งถอดเทปเสวนาของ อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เมื่อครั้งเวทีเสวนาเกี่ยวกับมาตรา 112 เมื่อหลายปีก่อน รวมถึงผลงานเขียนหนังสือหลายเล่มของ อ.ปิยบุตร ซึ่งอุ๊ได้นำไปใช้เป็นหลักฐานแจ้งความที่ สน.ลุมพินี และเดินสายออกรายการ เพื่อให้สาธารณชนทราบถึงพฤติการณ์ของ อ.ปิยบุตร ที่อุ๊เชื่อว่าเป็นภัยและมีความคิดไม่ดีต่อสถาบันหลักของชาติ จึงต้องออกมาเคลื่อนไหว

ซึ่งในโซเชียลมีเดียของคุณอุ๊เองก็อาจจะมีอารมณ์ในบางส่วนที่ต้องโต้ตอบกับประชาชนบางคนไปขุดพฤติกรรมในอดีตของคุณอุ๊เองออกมาบ้างเพื่อโจมตี

หรือบางส่วนมองว่าคุณอุ๊ทำให้บูธของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันทะลักไปด้วยคนที่แห่ต่อคิวมาซื้อหนังสือของ อ.ปิยบุตร จนบางเล่มขายดีขายหมดไปเลยทำนองนั้น

กรณีของอุ๊ หฤทัย ก่อนที่เขาจะเคลื่อนไหวร้อนแรงต่อเนื่อง ย้อนไปนิดเดียวไม่กี่วันก่อน อุณหภูมิแรง แอม-เสาวลักษณ์ ลีละบุตร นักร้องชื่อดัง ซึ่งเคยออกอัลบั้มคู่กับอุ๊ เคยทำเพลงด้วยกัน ก็ถึงกับต้องไปลงบันทึกประจำวันไว้หลังจากมีเว็บไซต์หนึ่งลงภาพผิด ข่าวอุ๊ด่าธนาธร-ปิยบุตร และใส่ภาพเป็นแอม เสาวลักษณ์ ซึ่งต่อมาเว็บไซต์นั้นได้ขออภัยแอมและแก้ไขความผิดพลาดไปแล้ว

ในแง่หนึ่งเราอาจจะมองเป็นเรื่องโจ๊กๆ หรืออาจจะมองว่าไม่มีอะไรมาก ลงผิดแล้วแก้แล้ว แต่ต้องบอกว่า โลกออนไลน์มันไปไว ซึ่งไวมาก สิ่งที่ใครทำอะไรไว้ที่ไหนย่อมมีผลกระทบตามมาแน่นอน ไม่ว่าเราจะเห็นพ้องเห็นด้วยหรือไม่ หรือจุดยืนอย่างไร แต่ต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่เลือกจะจำเฉพาะในสิ่งที่เขาต้องการจะจำมากกว่า

ฉะนั้น บางข่าวบางเรื่องราวที่ทำคนจะจำไปจนวันตายเลย ยิ่งถ้ามาดูการเคลื่อนไหวคุณอุ๊ช่วงหลังๆ ก็ยิ่งทวีดีกรีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องมองว่าสิ่งที่แอมไปลงบันทึกไว้ก็เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดและความเสียหาย รวมถึง “กฐิน” ที่จะมีคนจองให้แน่ๆ (หากไม่ดำเนินการ) ทั้งที่ตัวเองไม่เกี่ยวเลย

หรือกระทั่ง คุณศัลยา สุขะนิวัตติ์ นักเขียนบทละครโทรทัศน์ชื่อดัง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีการโพสต์ในเชิงไม่เห็นด้วยและโจมตีธนาธร-อนาคตใหม่

พอมาเคสที่ปิยบุตรเริ่มถูกเพ่งเล็งก็ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก โดยใช้วิธีแชร์ข้อความจากเฟซบุ๊กของนายปิยบุตร เมื่อปี 2560 ซึ่งโพสต์ถึงประเด็นการอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดย อ.ศัลยาระบุว่า

“แนะนำให้อาจารย์ไล่ตัวเองค่ะ ส่วนเมียไม่ต้องไล่ แค่บอกให้กลับบ้านไป ลูกถ้าเขาไม่ไล่ตัวเองก็คงเป็นเพราะอยากเรียนในเมืองไทย ถึงไม่พอใจก็ต้องยอม ไล่เขาไม่ได้นะคะ ผิดกฎหมาย”

แม้แต่หมอก้อง สรวิชญ์ หรือพันตรีนายแพทย์สรวิชญ์ สุบุญ นักแสดงชื่อดัง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก กรณีโลกโซเชียลลงชื่อให้มีการถอดถอนนายปิยบุตรออกจากการเป็นว่าที่ ส.ส. โดยหมอก้องได้โพสต์ข้อความว่า

“ไม่เห็นด้วยว่าให้ออกจากอนาคตใหม่ แต่คิดว่าควรออกไปจากประเทศไทยเลยครับ”

จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์สนั่นโลกโซเชียล โดยชาวเน็ตจำนวนมากยังได้แสดงความไม่พอใจกับคำพูดของหมอก้อง ในการไล่ผู้อื่นออกนอกประเทศ ขณะที่หลายคนก็ให้กำลังใจ

จนต่อมาหมอก้องได้แชร์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ที่ว่า “ทำไมเราถึงสร้างความเกลียดชังกันผ่านตัวหนังสือโลกออนไลน์ได้ง่ายกันเหลือเกินในวันนี้”

ไม่ใช่เพียงแค่การโพสต์เชิงลบกับพรรคอนาคตใหม่เท่านั้นที่จะโดนโจมตี ใครที่แสดงตัวสนับสนุนก็ใช่ว่าจะรอด อย่างนักร้องร็อกเกอร์รุ่นใหญ่ หนึ่งในคนบันเทิงไม่กี่คนที่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 (ซึ่งต่อมาเป็นโมฆะอันเนื่องมาจากเหตุมีคนบางกลุ่มไปปิดหน่วยเลือกตั้งทำให้ไม่เป็นการจัดเลือกตั้งพร้อมกันทั่วประเทศได้ในวันเดียว) ผู้นั้นคือ หนุ่ย-อำพล ลำพูน ที่ก่อนการเลือกตั้งมีนาคม 2562 พี่หนุ่ยเลือกโพสต์ภาพโลโก้พรรคอนาคตใหม่ พร้อมใส่แคปชั่นว่า 1 สิทธิ์ 1 เสียง ไม่ขาย เลือกใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้คนไทยทุกคนมี 1 สิทธิ์ 1 เสียงเท่ากันทุกประการ จุ๊บๆ #ไม่ใช่พื้นที่โฆษณา #คิดไม่เหมือนกันไม่เป็นไร คนไทยเท่ากันทุกคน

ปรากฏว่ามีคอมเมนต์ถล่มทลายเข้ามามากกว่า 1,126 รายการ ซึ่งหากไปไล่ดูเฉพาะท็อป 100 อันแรกๆ ส่วนใหญ่เข้ามาแสดงออกเต็มที่ว่า “ดิชั้น คิดไม่เหมือนคุณ บ้างก็ใช้คำว่าไม่เอาพรรคที่จะมาคิดล้มล้าง ไม่เอาพรรคที่… (ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแพ็กเกจคำที่อนาคตใหม่โดนบ่อยๆ ทั้งโรฮิงญา พวกทักษิณ คิดไม่ดีต่อสถาบัน ฯลฯ)

ซึ่งหนุ่ย อำพลเองเลือกไปตอบแบบยิ้มๆ และเชิญชวนทุกคนไปใช้สิทธิ์ให้มากๆ ดีกว่า ถ้าคิดไม่เหมือนไม่เป็นไร แต่ต้องไม่ลืมไปใช้สิทธิ์ ทำให้บรรยากาศอาจจะไม่มาคุไฟลุกเท่ากรณีบนๆ ที่กล่าวมา

จริงๆ ถ้าย้อนไปตั้งแต่ภาพปี 2557 มีดารากลุ่มใหญ่ๆ (ไม่ต้องเอ่ยชื่อ แต่เชื่อว่าทุกคนจำได้ขึ้นใจ) เคลื่อนไหวกับ กปปส. ใส่เสื้อที่ถูกผลิตออกมาเป็นการเฉพาะกิจ เพื่อประกาศให้โลกรู้ ให้สังคมทราบว่า “กูไม่ไปเลือกตั้ง” “กูไม่เอาเลือกตั้ง” ต้องปฏิรูปก่อน เป็นการน้อมนำคำสอนของกำนันสุเทพ ซึ่งจนถึงวันนี้เราก็ไม่มีวันได้ทราบคำตอบที่แน่ชัดจากศิลปินเหล่านั้นว่า ตกลงแล้ว ปฏิรูปไปแล้วหรือยัง? หรือว่าที่ผ่านมาประเทศได้ถูกพัฒนาไปอย่างตรงใจของพวกเขาหรือเปล่า

ดาราหลายคนเลือกแสดงออกชัด รับงานที่ได้ออกรายการกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ที่มีหมวกหลายใบมากที่สุดคนหนึ่ง บ้างก็ชัดเจนว่าอยากเลือกความสงบจบที่ลุงตู่คนนี้ บ้างก็ยังไม่ไปไหนเลือกโจมตีและฝักใฝ่แต่เรื่อง “ผีทักษิณ”

และในห้วงรัฐบาล คสช.ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะรายการเดินหน้าประเทศไทย หรือศาสตร์พระราชาทุกคืนวันศุกร์ (ที่ล่าสุดรายการยกเลิกไปแล้ว) ก็มีศิลปินจำนวนมากเข้ามาช่วยกระชากเรตติ้งและเป็นกระบอกเสียงให้กับโครงการรัฐบาล มีทุกวัย ตั้งแต่ขวัญใจวัยรุ่นทั้ง BNK48 ณเดชน์ ญาญ่า บี น้ำทิพย์ บอส สามีแห่งชาติ มิว นิษฐา กบ ทรงสิทธิ์

ซึ่งบทบาทส่วนใหญ่ของคนบันเทิงเหล่านี้จะใช้ในการนำเสนอผลงานรัฐบาลมากกว่า

หรือแม้แต่โจ นูโว นก สินจัย ที่หลายๆ คนมีภาพจำบทบาทของพวกเขาได้ชัดเจนก็ไม่พลาดจะเข้ามาในงานเหล่านี้ด้วย

บางส่วนก็ถูกตั้งคำถาม บางส่วนก็มองว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ

ซึ่งหากใครขาประจำโซเชียลจริงๆ ก็จะเห็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเห็นก็ได้เห็น มีดาราบางคนโพสต์ว่า ไม่มีงานไม่มีเงิน

บ้างก็ถูกโซเชียลมีเดียในยุคนี้ตามหลอกหลอนด้วยภาพและข้อความที่เคยลั่นไว้ ภาพนกหวีดที่เคยมีติดตัวเพื่อส่งเสียงออกไปก็กลับมาทิ่มแทงกลางใจ

แต่สิ่งหนึ่งในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตย ที่เราเองก็ไม่ควรลืมคือ ต้องเคารพความคิดเห็นทุกฝ่ายแม้จะแตกต่างกัน

ตราบใดที่ “เขาไม่สนับสนุนการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย” หรือทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย และแม้แต่การได้เป็นส่วนหนึ่งของการ “ล้มเลือกตั้ง” อันเป็นเสียงสำคัญที่เขาเหล่านั้นแสดงออกมา เขาก็ “ต้องฟัง” เสียงคนอื่นเช่นกัน

ดาราก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง ซึ่งมีสิทธิมีเสียงเทียบเท่ากันคนทั่วๆ ไป แม้ว่าดาราบางคนจะมีค่าตัวดีมาก เสียภาษีมหาศาล หรือต่อให้บางคนจะเลี่ยงภาษี มีคฤหาสน์หลังใหญ่ๆ แต่ประชาธิปไตยก็ทำให้เสียงของพวกเขามีค่าเท่ากับคนหาเช้ากินค่ำ คนไม่มีจะกิน คนที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน เพื่อให้ได้รัฐบาลที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเขาได้

เช่นกันกับที่ดาราบางคนต้องการ “ความสงบ” เพื่อความมั่นคงในอาชีพและการเงิน แม้ว่าบางส่วนอาจเสพสื่อที่ทำตัวเป็นผู้เซาะกร่อนบ่อนทำลายทิศทางการเมืองที่ถูกที่ควรไปก็ตาม