อุรุดา โควินท์ / อาหารไม่เคยโดดเดี่ยว : หาดใหญ่ใกล้แค่เอื้อม

“กินขนมจีนกันนะ” ฉันบอก ฉันทำไว้ตั้งแต่บ่าย ทำเสียมากมาย โดยไม่รู้ว่าเพื่อนจะมาหา ให้พอดีว่าเพื่อนคนนี้กินเผ็ดได้ ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เราไปกินขนมจีนแกงใต้ด้วยกันบ่อยมาก

“น้ำแกงแบบปักษ์ใต้เหรอ” เขาถาม

“ใช่”

เขามองหน้าฉัน แล้วอมยิ้ม

“แปลกโนะ แล้วเราก็ทำขนมจีนแกงใต้เป็น ทำอาหารใต้ได้เกือบทุกอย่างเลย อร่อยกว่าอาหารเหนืออีก” ฉันว่า

เขาหัวเราะ “เหมือนเราไม่เคยคิดว่าต้องอยู่ไกลบ้านขนาดนั้น เราเรียนพายัพ เพราะอยากอยู่ใกล้บ้าน ตอนนี้อยู่อีกประเทศเลย”

เต้เป็นหนุ่มเชียงใหม่เจ้าเสน่ห์ เราเรียนสาขาเดียวกัน เคยเป็นเพื่อนสนิทชนิดที่หากใครคนหนึ่งมีแฟน อีกคนจะต้องเสียใจ เราไปไหนมาไหนด้วยกัน อ่านหนังสือสอบด้วยกัน เสาร์-อาทิตย์เขาก็พาฉันไปกินข้าวกับพ่อแม่ของเขา ความสัมพันธ์ของเราเป็นเช่นนี้ ไม่มากหรือน้อยไปกว่านี้ และเรายังเรียกกันและกันว่าเพื่อน

กระทั่งถึงวันที่เขาเดินมาบอกฉันว่า เราคงสนิทกันเหมือนเดิมไม่ได้ เพราะเขามีแฟนแล้ว ตอนนั้นเอง ที่ฉันรู้-เราไม่กล้าหาญพอ เรากลัวอะไรสักอย่าง หรือไม่ เราก็พอใจแล้วที่เป็นเช่นนี้ เราไม่คิดจะเดินข้ามเส้นแบ่งบางๆ ของมิตรภาพ หากเราจับมือกันในโรงหนัง หรือหอมแก้มกันบ้าง บางทีฉันอาจไม่ต้องสูญเสียเขาไป

เขาฝันที่จะทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง ธุรกิจอะไรยังไม่แน่ชัด รู้แต่ว่าเขาอยากอยู่เชียงใหม่ เพราะพ่อแม่ของเขามีตึกในทำเลทอง เขาชอบพบปะผู้คนแปลกหน้า ชอบพูดภาษาอังกฤษ และอยากเรียนรู้อีกหลายภาษา (ตรงกันข้ามกับฉันโดยสิ้นเชิง)

ภาษาญี่ปุ่นพาเขาไปพบสาวญี่ปุ่น ซึ่งกลายเป็นภรรยาของเขา

“ไม่คิดพาลูกเมียมาอยู่เชียงใหม่เหรอ” ฉันถาม

“พอไม่ได้อยู่เมืองไทยนานๆ กลายเป็นว่าที่ไหนก็ได้ บ้านทั้งนั้น ถ้ามีครอบครัว แล้วเธอว่าเชียงใหม่ตอนนี้น่าอยู่นักเหรอ”

ฉันหัวเราะ จริงของเขา

“มาเต้ ลองชิมก่อน น้ำแกงเผ็ดไปมั้ย” ฉันตักน้ำแกงขนมจีนใส่ถ้วยให้เขา ฉันรู้ว่าเขาเคยกินเผ็ดเก่ง แต่ไปอยู่ญี่ปุ่นเสียนาน ลิ้นอาจเปลี่ยน รับรสเผ็ดได้น้อยลง

เขารับไปชิม “อร่อย อร่อยกว่าร้านที่เราเคยไปกินด้วยกัน”

“มันนานแล้วนะ เต้ยังจำรสขนมจีนร้านนั้นได้เหรอ ร้านก็ไม่อยู่ให้กลับไปชิมแล้ว”

เขาหัวเราะเอิ๊กอ๊าก “ไม่รู้สิ แต่นี่อ่ะ น้ำแกงขนมจีนอร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินเลย”

เต้ปากหวาน สุภาพเรียบร้อย แต่ไหนแต่ไรก็เป็นแบบนี้ ตรงกันข้ามกับฉัน ที่ทั้งปากไม่ดี และดูก้าวร้าวห้าวหาญ

“มีแกงไตปลาด้วย สองน้ำแกงเลย” ฉันบอกเขา

“ถ้ามีไก่ทอดหาดใหญ่ จะสมบูรณ์แบบ กินด้วยกันมันอร่อยสุดๆ เลย”

ไม่ใช่อร่อยสุด โคตรอร่อยต่างหากล่ะ แต่ว่าที่นี่เชียงราย ไก่ทอดหาดใหญ่พอหาได้ แต่ต้องรอค่ำ เขาต้องกลับเชียงใหม่ก่อนค่ำเสียด้วย

ฉันไม่เคยทำไก่ทอดหาดใหญ่ แต่จะลองทำแบบเดาๆ อย่างน้อยก็ออกมาใกล้เคียง แถมอาจชนะด้วยความหิวของเพื่อน และความร้อนของไก่ทอด

รีบเอาปีกไก่ออกมาจากตู้เย็น หมักกับเครื่องแกงที่เหลือจากทำน้ำขนมจีน เป็นเครื่องแกงกะทิของแกงใต้ ประกอบด้วย พริกขี้นก กระเทียม ตะไคร้ พริกไทยดำ ขมิ้น เกลือ คลุกเครื่องแกงให้เข้ากับปีกไก่ แล้วเยาะน้ำปลาเพิ่มรสชาติเสียหน่อย

“คนละสองปีกพอ” ฉันบอกเขา

“อย่าบอกนะ ว่าจะทำไก่ทอดด้วย”

“ต้องสิโว้ย ผัวคนญี่ปุ่นมากินขนมจีนที่บ้าน ต้องจัดเต็ม”

เต้อมยิ้ม ส่งคำขอบคุณมาทางสายตา ฉันนึกถึงประโยคติดปากของเขา อย่างนี้รักตายเลย

วันนี้เขาไม่ควรพูด

ฉันดีใจที่เขาไม่พูด ฉันดีใจที่เขามีแฟนตอนปี 3 พอเราห่างกัน ฉันก็มีเพื่อนสาวกลุ่มใหญ่ และฉันดีใจที่ในที่สุด เขาได้มีภรรยาในฝัน

หมักไก่ทิ้งไว้อย่างนั้น ฉันหันมาเตรียมผักใส่จานเปล แช่ในตู้เย็น ตักผักดองใส่ถ้วย และทำผักต้มกะทิด้วย

รอทุกอย่างพร้อม จึงตั้งกระทะเตรียมทอดไก่ ใช้น้ำมันร้อนจัด ทอดแบบน้ำมันท่วม ก่อนทอด เทแป้งทอดกรอบลงไปปนกับไก่ ตามด้วยน้ำเย็นนิดหน่อย คลุกพอให้แป้งเคลือบหนังไก่อย่างบาง แล้วบรรจงหย่อนลงกระทะ ทอดทีเดียวสี่ชิ้น จะได้กินขนมจีนกับไก่ทอดพร้อมกัน

รอไม่นาน เราได้ปีกไก่สีทองสวยงาม ฉันจัดลงจานละสองชิ้น วางข้างจานขนมจีนของเขาและของฉัน

ตักน้ำแกงราดขนมจีน ใช้ทั้งน้ำยาและแกงไตปลา ทำเผ็ดทั้งคู่ แต่แน่ใจว่าเต้กินไหว เพราะข้างหน้าเราคือสารพัดผักที่จะช่วยคลายความร้อนแรงของน้ำแกง

ปีกไก่ในจานเต้หายวับไปหนึ่งปีก ฉันหยิบปีกจากจานฉันวางให้

เขารีบบอก “ไม่เป็นไรเธอ คนละสองปีกสิ”

“เราทำได้ เราตำเครื่องแกงเป็น กินเหอะ กลับญี่ปุ่นไม่มีกินนะ”

“กลับเชียงใหม่ก็ไม่มีกิน ที่อร่อยอย่างนี้อ่ะ กรอบ อร่อย หอมเครื่องแกง เผ็ดนิดๆ เค็มหน่อยๆ กินกับข้าวเหนียวก็อร่อยนะ เราว่า”

เพิ่งทำครั้งแรก อย่างนั้นเลยหรือ ฉันสงสัย หยิบไก่ในจานตัวเองชิม ฮืม จริงเสียด้วย กินตอนเพิ่งขึ้นจากเตาอย่างนี้ อร่อยยกกำลัง

“เห็นมั้ย ไม่ต้องไปหาดใหญ่ก็ได้กิน” ฉันบอก

“หาดใหญ่อยู่ตรงนี้” เขาชี้มาทางฉัน “นครศรีธรรมราช แล้วก็พัทลุงด้วย อยู่บนโต๊ะนี้หมดเลย”