ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต /ศึกรถครอบครัว ’11 ที่นั่ง’ ‘เอ็มจี V80’ – ‘ฮุนได H-1’

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]

ศึกรถครอบครัว ’11 ที่นั่ง’

‘เอ็มจี V80’ – ‘ฮุนได H-1’

 

รถยนต์นั่งแบบครอบครัว 11 ที่นั่ง กำลังเป็นที่นิยมมากพอสมควรในบ้านเรายามนี้

ที่ผมใช้คำว่ารถครอบครัวแทนจะเป็น “รถตู้” เนื่องจากการออกแบบ-ตกแต่ง และความสะดวกสบายต่างกันพอสมควรนั่นเอง

ในอดีตนั้นรถครอบครัวขนาด 11 ที่นั่งในเมืองไทยไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากราคาค่าตัวค่อนข้างสูง เพราะส่วนใหญ่เป็นค่ายรถหรูที่นำเข้ามาทำตลาด อาทิ เมอร์เซเดส-เบนซ์ หรือโฟล์ก

จนเมื่อหลายปีก่อน “ฮุนได” นำรถขนาดบิ๊กไซซ์ “H-1” เข้ามาทำตลาดพร้อมจัดราคาที่น่าตกตะลึง ทำให้เป็นรถยอดนิยมแทบในทันที

“H-1” ถือเป็นรถที่ขายดีที่สุดของค่าย

ความนิยมของรถรุ่นนี้พิสูจน์ได้ง่ายๆ ใครที่เดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยๆ หากเห็นรถครอบครัวแบบนี้ แทบจะเดาได้ล่วงหน้าเลยว่า หากเจอ 10 คัน ต้องเป็นฮุนได H-1 เกินครึ่ง

แต่มาวันนี้มีผู้ท้าชิงหน้าใหม่เข้ามาทำตลาดในบ้านเราคือ “เอ็มจี วี80” (MG V80)

เอ็มจี ค่ายรถอังกฤษที่อยู่ในความดูแลของจีน ประสบความสำเร็จอย่างมากกับตลาดเก๋งเล็ก และเอสยูวี เนื่องจากชูจุดเด่นด้านเทคโนโลยี ขณะที่ราคาไม่สูงมาก เรียกว่าหากเทียบกับรถญี่ปุ่นถือว่าถูกเลยทีเดียว

อีกทั้งปิดจุดอ่อนเรื่องศูนย์บริการ ด้วยการขยายสาขามากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงตั้งโรงงานผลิตในไทย จนสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคว่าไม่มี “ลอยแพ” แน่นอน

แม้โดยราคาของรถทั้ง 2 ค่ายอาจจะต่างกันพอสมควร แต่เพราะเป็นรถแบบ 11 ที่นั่งเหมือนกัน จึงขอนำมาท้าชนกันแบบเบาๆ

 

เริ่มกันที่ “เอ็มจี V80” ให้นิยามว่า “LET’S MOVE – ไปด้วยกันได้มากกว่า ความรู้สึกดีๆ ก็มากขึ้น”

ดีไซน์สไตล์ยุโรป ภายใต้แนวคิด “BRIT DYNAMIC” อันลือชื่อของ MG การออกแบบเน้นความกว้างขวาง โอ่โถง สะดวกสบาย ด้วยมิติตัวถังที่ทั้งกว้างและสูง

ประกอบกับการวางเครื่องยนต์ด้านหน้าสไตล์รถยุโรป รวมถึงระบบขับเคลื่อนล้อหน้า

ไฟหน้ามัลติรีเฟล็กเตอร์ปรับสูง-ต่ำได้ ไฟหรี่ LED ไฟตัดหมอกคู่หน้า

กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า พร้อมเลนส์มุมกว้าง มีระบบไล่ฝ้าและติดตั้งไฟเลี้ยวมาให้ด้วย

จุดเด่นแน่นอนว่าประตูสไลด์ทั้ง 2 ข้าง ส่วนประตูหลังเปิดข้าง 2 บาน หรือเปิดแบบตู้กับข้าว ซึ่งถือว่าแปลกกว่ารถประเภทเดียวกันที่เราคุ้นเคยเพราะจะเปิดขึ้นด้านบนทั้งบาน

ข้อดีของประตูลักษณะนี้คือไม่ต้องเว้นเผื่อที่ด้านหลังมากนักเวลาจอด

บันไดข้างไฟฟ้า Electric Side Steps ซึ่งจะยืดออกมาจากใต้ท้องรถเมื่อเปิดประตูผู้โดยสาร และจะเลื่อนเก็บเข้าไปเมื่อปิดประตู ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว

ภายในเน้นความโอ่โถงแบบพื้นห้องโดยสารเป็นแบบแบนราบ (Flat floor) สามารถเดินเชื่อมต่อถึงกันได้ภายในห้องโดยสาร (Walk Through) ห้องโดยสารภายในแบบ 4 แถว 11 ที่นั่ง เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับได้ 8 ทิศทาง

พวงมาลัยแบบธรรมดา เรือนไมล์แบบอะนาล็อกพร้อมหน้าแสดงข้อมูลการขับขี่

เกียร์อัตโนมัติฝังอยู่กับคอนโซลกลาง

เครื่องเสียง USB/AUX พร้อม Bluetooth ระบบปรับอากาศแยกส่วนหน้า-หลัง ช่อง USB ช่องจ่ายไฟ 12 โวลต์ ไฟอ่านแผนที่ และกุญแจรีโมต

 

มาพร้อมขุมพลังจากเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุดที่ 136 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิดที่ 330 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-2,600 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ SeleMatic 6 สปีด (พร้อมโหมดเกียร์ธรรมดา) และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด

ช่วงล่างที่ให้เสถียรภาพในการขับขี่ที่มั่นคงในแบบฉบับของรถยุโรป ระบบความปลอดภัยครบครันทั้งโครงสร้างตัวถังนิรภัย (BFI – Body Frameless Integrated)

ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ ระบบเบรก ABS/EBD และ 7 ระบบความปลอดภัยใน ESP (Electronic Stability Program) ซึ่งทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียวจึงช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่

ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HHC, เซ็นเซอร์กะระยะท้าย 4 จุด ฯลฯ

มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย 2.5L MT 988,000 บาท และ 2.5L SELEMATIC 1.038 ล้านบาท

แต่ในช่วงแนะนำถึงเดือนมิถุนายนนี้ หั่นราคาลงไปอีก รุ่น 2.5L MT เหลือ 923,000 บาท และ 2.5L SELEMATIC 973,000 บาท

 

ส่วนฮุนได ออกรุ่นพิเศษ “เอช-วัน ลิมิเต็ด ทรี” สีขาวครีมมี่ ไวต์ ซึ่งเป็นสีพิเศษที่ไม่มีจำหน่ายในรุ่น “เอช-วัน ซีรีส์” ติดตั้งหลังคามูนรูฟ 2 บาน เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมที่บังแดดสำหรับผู้โดยสารตอนหน้าและตอนหลัง ช่วยเพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทาง

ไฟส่องสว่างด้านหน้าควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติ พร้อมระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับให้ไฟหน้าเปิดอัตโนมัติเมื่ออยู่ในบริเวณที่มีแสงน้อย สะดวกสบาย เพิ่มความปลอดภัยในทุกการขับขี่

ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สีเมทาลิกแบบปัดเงา เพิ่มความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะด้วยโลโก้ “Limited III” ที่ด้านหลัง

พร้อมติดตั้งกล้องหลัง ที่มีระบบสัญญาณเตือนเมื่อเจอสิ่งกีดขวาง เพิ่มความสะดวกในการถอยเข้าจอดแม้ในพื้นที่จำกัด

ภายในได้รับการดีไซน์เรียบหรู และคลาสสิคยิ่งขึ้นด้วยลายไม้สีเทาลายใหม่ เบาะนั่งโดยสารสีเทา พร้อมพรมปูพื้นรอบคัน สัญลักษณ์ “Limited III” ติดตั้งอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงด้วยเครื่องเสียงไพโอเนียร์ หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า รองรับ Apple Car Play และไฟล์มัลติมีเดีย

จอ LCD แบบสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว ที่หลังหัวหมอนคู่หน้า 2 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง รองรับหูฟังไร้สายระบบบลูทูธ พร้อมช่องต่อสำหรับ USB และ MicroSD Card ที่ด้านข้างจอ LCD

เพิ่มความสะดวกในการใช้งานด้วยระบบ Dual Zone ที่แยกแหล่งสื่อบันเทิงสำหรับที่นั่งตอนหน้าและตอนหลัง ช่วยให้สามารถเลือกฟังก์ชั่นการใช้งานได้อย่างอิสระ

 

“เอช-วัน ลิมิเต็ด ทรี” ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร คอมมอนเรลไดเร็กต์อินเจ็กชั่น ให้กำลังสูงสุด 175 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 441 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับเกียร์อัตมัติ 5 สปีด ให้การตอบสนองรวดเร็ว และนุ่มนวล

นอกจากนี้ยังได้เพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆ อาทิ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control), กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ, ไฟภายในห้องโดยสารแบบ LED ปรับได้ 6 สี และระบบปรับอากาศอัตโนมัติ เป็นต้น

รุ่นนี้จำนวนจำกัด 300 คันเท่านั้น ราคา 1.679 ล้านบาท

หากใครคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปถึงรุ่นพิเศษขนาดนี้ก็ยังมีรุ่น “นิว เอช-1” ให้เลือกเหมือนเดิม

มี 3 รุ่นย่อย เริ่มจาก “ทัวริ่ง” 1,329,000 บาท, Elite 1,529,000 บาท และดีลักซ์ 1,729,000 บาท

แน่นอนว่าสำหรับ “ฮุนได H-1” เด่นที่ความหรูหรา และสะดวกสบาย รวมไปถึงภาพรวมดูดีกว่า แต่ “เอ็มจี V80” ได้เปรียบที่ราคาถูกกว่าพอสมควร