นิ้วกลม : เจ.อาร์.อาร์.ทอลคีน : สร้างโลกงดงามท่ามกลางความอัปลักษณ์

นิ้วกลมfacebook.com/Roundfinger.BOOK

1การมีชีวิตในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1892-1973 ต้องผ่านมหาสงครามถึงสองครั้งสองคราว

ไม่เพียงแค่หายใจอยู่ในช่วงเวลาที่โลกมีความขัดแย้งรุนแรงมากที่สุด แต่ตัวของทอลคีนเองถูกสายลมแห่งความรุนแรงนั้นหมุนควงเข้าไปอยู่ในพายุแห่งสงครามอันโหดเหี้ยมด้วย

เขาเป็นทหารร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในนามของกองทัพอังกฤษ แม้เข้าร่วมรบตามหน้าที่ แต่โดยส่วนลึกแล้วเขาไม่เห็นด้วยกับการทำสงคราม กระทั่งอาจรู้สึกขยะแขยงความรุนแรงที่มนุษย์กระทำต่อกัน

ยากที่จะจินตนาการถึงสภาพชีวิตในช่วงเวลาที่มหาสงครามครั้งที่หนึ่งจบลงพร้อมความสูญเสียในระดับที่สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาควรจะเข็ดหลาบ มันคร่าชีวิตชายหญิงและเด็กไปร่วมสิบล้านคน ล้างผลาญทรัพยากรในยุโรปจนเกลี้ยง

เมื่อเสียงระเบิดและเสียงปืนเงียบลง ประชาชนชาวยุโรปต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกตนจะไม่ถลำเข้าสู่การประหัตประหารเยี่ยงนี้อีกเป็นอันขาด

แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แถมยังรุนแรงเสียยิ่งกว่าครั้งที่เพิ่งผ่านไป

การต้องหายใจยาวนานอยู่ในบรรยากาศแห่งกระสุนและลูกระเบิด กลับกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ จอห์น โรนัลด์ รูเอล ทอลคีน สร้างโลกมิดเดิลเอิร์ธขึ้นมา พร้อมอาณาจักรรายรอบอันกว้างใหญ่ไพศาล ผสานกับเรื่องราวแสนอัศจรรย์ของการช่วงชิงแหวนแห่งอำนาจในวรรณกรรมอมตะข้ามยุคสมัยอย่าง “The Lords of The Rings”

2เหตุการณ์ใหญ่ระดับสงครามโลกย่อมส่งผลต่อความคิดและจิตใจของผู้คนร่วมยุคสมัย นักเขียนในศตวรรษที่ 20 ก็เช่นกัน จอร์จ ออร์เวลล์ ฉายภาพความคิดต่อความโหดร้ายออกมาในงานเขียนเรื่อง 1984 วิลเลียม โกลดิง ก็สอดแทรกด้านมืดของชีวิตไว้ใน The Lord of Flies ส่วนทอลคีนเองจินตนาการถึงอาณาจักรที่ดำรงอยู่ท่ามกลางการต่อกรกันระหว่างอำนาจมืดกับอำนาจฝ่ายดี

ในบางมิติ บางสถานการณ์ งานเขียนก็เป็นการระบายความอึดอัดทางอารมณ์ของผู้เขียน รวมถึงอาจจะเป็นช่องทางสร้างความหวังในโลกอันแสนหดหู่

บรรยากาศสงครามขโมยความหวังไปจากหัวใจของผู้คน หนุ่มสาวในตอนนั้นมิอาจแน่ใจได้เลยว่าพวกเขาจะมีอนาคตเช่นไร คนที่เพิ่งแต่งงานกันก็ไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าจะมีใครสักคนต้องตายจากไปในวันใดวันหนึ่ง ชีวิตกลายเป็นเรื่องเปราะบางอย่างยิ่ง ภาวะเช่นนี้ก่อให้เกิดสภาพความสิ้นหวัง มองไปข้างหน้าก็ไม่เห็นอนาคต ทั้งยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่ภาวะเช่นนี้จะสิ้นสุดลง

ปี 1916 หลังแต่งงานกับอีดิทได้ไม่นาน ทอลคีนติดยศร้อยตรี ถูกส่งไปยังแนวรบที่กาเลส์ จากนั้นเขาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แม้ว่าโชคจะอยู่ข้างเขา ทำให้รอดชีวิตมาได้จากการรบหลายครั้ง แต่สงครามก็พรากชีวิตเพื่อนสนิทของเขาไปสองคน ภาพทหารที่บาดเจ็บล้มตายล้วนผนึกแน่นในความทรงจำ

คนตายต่อหน้าต่อตา กลิ่นเลือดที่กระเซ็นสาดมาถูกตัว กระสุนสังหารจากฝ่ายตรงข้าม และเขาเองก็เป็นคนลั่นกระสุนปลิดชีวิตคนอื่นเช่นกัน เหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งความเศร้าโศกในระดับลึก

และนั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้เขาต้องการหลบเข้าไปอยู่ในโลกจินตนาการที่เขาสร้างขึ้นเองกับมือ ทอลคีนเริ่มลงมือเขียนงานชิ้นแรกๆ หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสิ้นสุดลง ซึ่งสุดท้ายงานเขียนเหล่านี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ เดอะซิลมาริลเลียน ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการก่อร่าง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์

แก่นสำคัญที่เป็นหัวใจของ เดอะซิลมาริลเลียน คือ เรื่องราวอันน่าเศร้าสลด เต็มไปด้วยการต่อสู้กันระหว่างมนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสีย เมืองจมลงทะเล อัญมณีหายสาบสูญ มีแต่ความพังพินาศของทุกฝ่าย ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากประสบการณ์ในสงคราม ด้วยสำนึกว่าไม่มีชัยชนะใดสมบูรณ์แบบ ทุกชัยชนะล้วนเจือปนมาด้วยความสูญเสียเสมอ

แล้วเรื่องราวของเหล่าฮอบบิท และเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ก็ค่อยๆ ก่อร่างขึ้น

3โลกของมิดเดิลเอิร์ธใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ค่อยๆ ก่อร่างขึ้นท่ามกลางฝุ่นควันที่ยังคละคลุ้งของสงคราม

ทอลคีนหลอมตัวเองเข้ากับงานเขียนจนเป็นเนื้อเดียวกัน

เรื่องราวในนั้นพยายามจัดการความสับสนวุ่นวายในหัวของเขาทีละเปลาะๆ

ทอลคีนใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตหมกมุ่นอยู่กับมิดเดิลเอิร์ธ ดื่ม กิน นอน หายใจเข้าออกเป็นมิดเดิลเอิร์ธ

เขาสร้างโลกจินตนาการใบนี้ขึ้นมาเพื่อจะได้ฝังตัวอยู่ในนั้น

ในโลกที่เขาควบคุมได้ ในโลกที่เป็นไปตามสิ่งที่เขายึดถือศรัทธา

4ด้วยความศรัทธาในศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ทอลคีนสอดแทรกสำนึกแห่งความดีไว้ในเรื่องราวของเขาตลอดทั้งเรื่อง

โฟรโดแสดงคุณสมบัติอย่างชาวคริสต์ เขาเป็นผู้ถือแหวน เสมือนแบกไม้กางเขนเป็นภาระ

เขาถูกล่อใจที่ปากปล่องภูเขาไฟมรณะเช่นเดียวกับที่พระคริสต์ถูกลองใจ

เซารอนและเมลคอร์ก็เปรียบเหมือนตัวร้ายจากนรก ส่วนแกนดัล์ฟก็เหมือนศาสดาพยากรณ์

สาระสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งแนบแน่นในจิตใจของทอลคีนเป็นอย่างมากก็คือ ทัศนคติด้านลบที่เขามีต่อชีวิตสมัยใหม่และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

ลูกชายของเขายืนยันว่า “พ่อไม่ชอบโลกสมัยใหม่ เครื่องหมายสำคัญของโลกสมัยใหม่สำหรับพ่อคือเครื่องจักร”

ทอลคีนมักพูดอยู่เสมอว่า “มีแต่คนโง่หรือคนบ้าเท่านั้นที่มองศตวรรษที่ยี่สิบโดยไม่ตื่นกลัว”

หลายคนยืนยันว่าเขาเป็นคนที่ชิงชังความเจริญที่น่ารังเกียจ และรักงานที่ต้องใช้ฝีมือ

สิ่งที่มาพร้อมกับเครื่องจักร เทคโนโลยีทันสมัย นั่นคือการผลิตและความต้องการที่ล้นเกิน เหล่านี้ล้วนสร้างมลภาวะ ทำลายสิ่งแวดล้อม และนำมาซึ่งการบริโภคเกินจำเป็น

โลกสมัยใหม่เต็มไปด้วยความโลภที่ยากจะควบคุม

ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่จะนำไปสู่มหาสงคราม

เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ถือเป็นคำวิจารณ์โลกสมัยใหม่และคุณค่าที่นิยมเทคโนโลยี บางคนตีความว่า พ่อมดขาวซารูมานคือตัวแทนแห่งศตวรรษที่ยี่สิบอันเสื่อมทราม เขาคือนักการเมืองผู้ฉ้อฉล เป็นตัวแทรกแซงวิถีธรรมชาติ เป็นนักวิทยาศาสตร์เลวๆ ที่ขับเคลื่อนไปด้วยความอยากควบคุมยึดครอง ซารูมานสร้างเผ่าพันธุ์ผีร้าย ใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรอย่างไร้ความระมัดระวัง

ในที่สุด ซารูมานถูกพิชิตด้วยชัยชนะของ “วิถีดั้งเดิม” นั่นคือพลังตามธรรมชาติของแกนดัล์ฟ และความดีงามของผู้ที่ทำนุบำรุงธรรมชาติมากกว่าจะเป็นปฏิปักษ์กับธรรมชาติ

หลายคนพยายามถอดรหัสเกี่ยวกับสงครามในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ว่าใครเป็นตัวแทนฝ่ายไหนอย่างไร แต่นั่นเป็นสิ่งที่ทอลคีนไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เขาไม่ต้องการให้ผู้อ่านลดทอนคุณค่ามหากาพย์อันยิ่งใหญ่ไร้กาลเวลาของเขา ด้วยการเชื่อมโยงมันเข้ากับการกระทำอันโสมมของชีวิตผู้คนสมัยใหม่

สำหรับทอลคีนแล้ว นิยายของเขาคือการสร้างโลกอีกใบที่บริสุทธิ์กว่า โลกอันห่างไกลจากโลกอันเศร้าหมองในชีวิตจริงของตน แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์อันเข้มข้นของความขัดแย้งรุนแรงในโลกที่ห่อหุ้มชีวิตของเขาไว้ในช่วงเวลานั้นย่อมซึมผ่านเข้าไปในตัวตน ความคิด จิตใจของเขา และแทรกซึมเข้าสู่เนื้องานอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

จากวันนั้นถึงวันนี้ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ได้รับการกล่าวขวัญกันในหมู่นักอ่านต่างยุคต่างสมัยในนิยามเดียวกัน นั่นคือเป็นหนังสือในดวงใจ และได้รับการยกย่องจากนักอ่านจำนวนมากให้เป็นหนังสือแห่งศตวรรษ

ท่ามกลางความหดหู่สิ้นหวัง ทอลคีนสร้างโลกอีกใบขึ้นมาด้วยจินตนาการอันบรรเจิด เขาใช้มันเป็นประตูในการหลบไปจากโลกที่ตนเองเบื่อหน่ายและไม่เห็นด้วย เมื่อเข้าไปอยู่นั้น เขารู้สึกมีความหวัง มีพลัง มีชีวิตชีวา แต่ไม่ใช่เพียงแค่ผู้สร้างโลกใบนั้นขึ้นมาอย่างตัวเขาเท่านั้นที่รู้สึกมีความหวัง ผู้อ่านเองก็ได้รับพลังและความหวังด้านสว่างจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยเช่นกัน

“หนึ่งในผลงานวรรณกรรมอันน่าทึ่งที่สุดในยุคของเราหรือยุคใดก็ตาม เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เป็นเครื่องปลอบประโลมในยุคสมัยอันยุ่งยากเช่นนี้ และทำให้มั่นใจอีกครั้งหนึ่งว่า จิตใจที่อ่อนโยนจะรักษาสืบทอดโลกไว้ได้ต่อไป” เบอร์นาร์ด เลวิน นักวิจารณ์ชาวอังกฤษกล่าวไว้เช่นนั้น

ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความขัดแย้งวุ่นวาย ท่ามกลางความสับสนสิ้นหวังของการต่อสู้ระหว่างอำนาจด้านมืดและด้านดี ทอลคีนได้แสดงให้เราเห็นว่า มนุษย์สามารถแปรเปลี่ยนความสิ้นหวังให้เป็นพลังได้

หากสิ้นหวังกับสิ่งใดก็ตาม จงทำงานสร้างสรรค์

สร้างโลกงดงามท่ามกลางความอัปลักษณ์