ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 เมษายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | โลกหมุนเร็ว |
เผยแพร่ |
โลกหมุนเร็ว/เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง [email protected]
เมื่อศัตรูมาอยู่ด้วยกัน
ปีคริสต์ศักราช 2003 หรือในพุทธศักราช 2546 พระผู้นำศาสนาพุทธนิกายเซน ติช นัท ฮันห์ ได้นำภาวนาที่หมู่บ้านพลัมในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 6 วัน โดยผู้เข้าร่วมภาวนาซึ่งมาอยู่ ณ ที่เดียวกันนั้นคืออิสราเอลและปาเลสไตน์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นศัตรูกัน
เป็นงานภาวนาเพื่อบ่มเพาะการพูดและการฟังที่เป็นมิตรต่อกัน
เป็นงานที่จัดขึ้นในช่วงที่ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ร้อนแรงถึงขีดสุด ต่างฝ่ายต่างผลัดกันสังหารผู้นำของอีกฝ่าย มิไยที่ชาติตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกาจะเข้ามาไกล่เกลี่ยและผลักดันให้เกิดการเจรจาสันติภาพ
ตั้งแต่กันยายน 2000 ถึงกุมภาพันธ์ 2002 ชาวอิสราเอลถูกผู้ก่อการร้ายปาเลสไตน์ฆ่าตายแล้วกว่า 300 คน รวมทั้งมีการสังหารหมู่แบบพลีชีพโดยปาเลสไตน์
ทั้งสองฝ่ายเดินหน้าล้างแค้นกันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน นายกรัฐมนตรีแอเรียล ชารอน ประกาศทำลายล้างชาวปาเลสไตน์ทุกวิถีทาง อิสราเอลเพิ่มกำลังทหารเพื่อการนี้
ความเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพเป็นความพยายามของบุคคลหลายฝ่าย
มีนาคม 2003 ติช นัท ฮันห์ จัดภาวนาให้ชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์ร่วมกันที่หมู่บ้านพลัมในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
มิถุนายน 2003 ประธานาธิบดีจอร์จ บุช จัดการประชุมสุดยอดตะวันออกกลางที่จอร์แดน มีการหารือกับนายกรัฐมนตรีชารอนของอิสราเอลและนายกรัฐมนตรีอับบาสของปาเลสไตน์ เพื่อยุติการโจมตีทั้งสองฝ่าย
ความพยายามเพื่อสันติภาพผ่านมาหลายสมัยจนถึงยุคของประธานาธิบดีโอบามา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเอาชนะความเกลียดชังและการแบ่งแยกที่ฝังรากลึกมายาวนาน
แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เพราะมนุษย์นั้นมีอารมณ์ และมีการรับรู้ที่ต่างกัน
ถามว่าทำไมติช นัท ฮันห์ พระชาวเวียดนามจึงต้องเข้าไปจัดภาวนาที่ท้าทายด้วยการให้ศัตรูที่กำลังเข่นฆ่ากันมาอยู่ด้วยกัน
เราอาจนึกไปถึงความท้าทายสมัยพุทธกาลเมื่อพระพุทธองค์เผชิญหน้ากับองคุลีมาล และใช้วาทะ “เราหยุดแล้ว ท่านหยุดหรือยัง”
ในยุคสงครามเวียดนามซึ่งสิ้นสุดในปี ค.ศ.1973 พระในพุทธศาสนาต้องเผชิญกับการเข่นฆ่าจากสงครามกลางเมืองเหนือ-ใต้ และการแทรกแซงของสหรัฐ ผู้นำพระภิกษุในศาสนาพุทธอย่างติช นัท ฮันห์ ทราบดีถึงความโหดร้ายและความทุกข์ที่เกิดจากการแตกแยกเกลียดชัง ท่านได้นำประสบการณ์จากครั้งนั้นมาจัดงานภาวนา และหวังให้การภาวนาช่วยนำคนอิสราเอลและปาเลสไตน์มาอยู่ด้วยกันเพื่อรับฟังแต่ละฝ่าย
ในการภาวนาท่านบอกว่า ก่อนที่เราจะสร้างสันติภาพกับผู้อื่น เราย่อมต้องมีสันติภาพในตัวเองก่อน สันติภาพภายในจะเกิดจากการมีสติและการเฝ้าตามลมหายใจเข้า-ออก อยู่กับปัจจุบันขณะ
ความทุกข์เกิดจากการที่คนเรามีการรับรู้ที่ไม่ถูกต้อง
การรับรู้ที่ไม่ถูกต้องทำให้เกิดความกลัว ความโกรธ ความสิ้นหวัง ก่อเกิดการแบ่งแยก
จงอย่าตกเป็นเหยื่อ
จงเป็นนายของการกระทำของตัวเอง
จงอนุญาตให้ร่างกายของเธอพักผ่อนจากเรื่องตึงเครียดต่างๆ
การรับรู้เรื่องติช นัท ฮันห์ จัดงานภาวนาให้คนที่เป็นศัตรูกันสามารถมาอยู่รวมกันและรับฟังกันได้เช่นนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นรัฐบาลเขาน่าจะมีโอกาสได้พบปะกับผู้นำฝ่ายค้านนอกรัฐสภา และถามถึงสิ่งที่ฝ่ายค้านคับข้องใจ มันอาจนำไปสู่ความเข้าใจที่มากขึ้น และทำให้เกิดความสงบอย่างค่อยเป็นค่อยไป
การตั้งมั่นอยู่คนละข้างย่อมทำให้เกิดการรับรู้ที่บิดเบี้ยว
ความสามัคคีที่บางสังคมเห็นว่าดีอาจทำให้หลงทาง ไม่จำเป็นที่ทุกคนในสังคมจะเห็นเหมือนกันหมด สัจจะความจริงต่างหากคือสิ่งที่ควรยึดถือ
ในเวทีการเมืองสัจจะจะปรากฏเมื่อสื่อเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้พูด และประชาชนเป็นผู้พิจารณา อย่างเช่น การแถลงเรื่องการเป็นเจ้าของธุรกิจสื่อของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เมื่อสองวันก่อน เป็นการแถลงหลังจากนักข่าวอิศราขุดแคะเอกสารการประชุมภายในของบริษัทดังกล่าว การแถลงของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่นับว่าชัดเจน
การจัดงานภาวนาของติช นัท ฮันห์ สำหรับอิสราเอลและปาเลสไตน์กล่าวได้ว่าเป็นการสร้างความเข้มแข็งภายใน ให้สามารถต้านทานกับสิ่งที่มากระทบภายนอก เมื่อเร็วๆ นี้เช่นกันพรรคอนาคตใหม่ก็ทำสิ่งที่คล้ายคลึงกันคือจัดสัมมนาภายในองค์กรให้ ส.ส.ใหม่ เพื่อรับมือกับกระแสการดูดงูเห่า
องค์กรทั้งหลายจะเข้มแข็งต้องเข้มแข็งจากภายใน
พรรคอนาคตใหม่ต้องทำหลายอย่างเพื่อยืนหยัดเดินหน้าการเมืองแบบใหม่ ที่ผู้สนับสนุนพรรคคาดหวังเอาไว้