ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านเมือง อัตปือ ถึงกับต้องพึ่ง พระเจ้าและไสยศาสตร์

สิ่งที่คุณและผมไม่เคยรู้มาก่อน ในการขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านเมือง ที่มีไสยศาสตร์มากมายและดวงวิญญาณเร่ร่อน…บรึ๋ย…(4)

ความเดิมจากตอนที่แล้ว

ไสยศาสตร์และดวงวิญญาณเร่ร่อนที่ประเทศลาวกำลังเข้มข้น

มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเสียอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีเหตุบอกล่วงหน้า, มอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่งลงข้างทาง ไกด์ลืมกระเป๋าตังค์ที่มีเงินจำนวนมากไว้ที่ชายแดนประเทศเวียดนาม-ลาว และเราติดอยู่บนถนนสาย 18 ถนนที่พระท่านบอกภายหลังว่ามีดวงวิญญาณเร่ร่อนมากมาย เรายังคงพยายามผลักดันให้ไปข้างหน้า

แต่เราถูกบังคับให้กลับไปข้างหลัง

กลับก็กลับ อัตปือก็อัตปือ… เราเลยถูกคนขับรถสรุปให้ว่า…ต้องกลับไปตั้งหลักที่อัตปือ

เมื่อพี่ทั้งสองเห็นว่าเราน่าจะเอาตัวรอดได้แล้ว เขาจึงออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ปากเซ และก่อนพระอาทิตย์จะลับของฟ้าเล็กน้อย พระเจ้ากับไสยศาสตร์คงมีความคืบหน้าในการเคลียร์กัน… เรามุ่งหน้าสู่อัตปือ

เมื่อรถออกไปสักพัก เราก็มองหน้ากันแล้วก็หัวเราะให้ชะตาชีวิต หัวเราะกันสักพักนัยก็บอกว่า “ไอ้แมน มึงอยู่ไหน มึงไม่มาทางเดียวกับกู” ตอนนั้น นัยใส่เสื้อที่ไอ้แมนออกแบบไว้อยู่ เป็นเสื้อที่สวยงาม เสื้อสวยงามที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ “ไอ้แมน เสื้อมึง กูไม่ใส่แล้ว” ว่าแล้วก็ถอดเสื้อเขวี้ยงออกนอกหน้าต่างไป แล้วเราก็หัวเราะเสียงดังเคล้าน้ำตากันต่อ

ด้วยความเหนื่อยล้าของเรา จึงตกลงกันว่า คืนนี้เพียงตั้งเป้าหมายว่าหาโรงแรมพักผ่อน พรุ่งนี้หลังอาหารเช้าเราค่อยวางแผนกันใหม่

เราเริ่มศึกษาเมืองอัตปือจากมือถือขณะนั่งในรถ อัตปือเป็นเมืองที่น่าสนใจ และไม่ใช่เมืองที่เล็กมากนัก มีสนามบิน ดูจากกูเกิลแล้วมีแม่น้ำโค้งรอบเมือง น่าจะเป็นเมืองที่สวยทีเดียว เรามั่นใจว่าจะหาโรงแรมได้ในอัตปือ จัดการตัวเองให้หายเพลีย ศึกษาเส้นทางใหม่ ตรวจสอบรถให้พร้อม ถ้ารถไม่พร้อม เราก็มั่นใจว่าจะหารถกระบะขนไปที่ชายแดนได้ ทุกอย่างน่าจะทำได้ที่อัตปือ

พระเจ้ากับไสยศาสตร์คงบรรลุถึงข้อตกลงสันติภาพ

ในเวลาประมาณสองทุ่มนิดๆ เราก็มาถึงโรงแรม

แม้ว่านัยเหนื่อยมากจนแทบจะเป็นลม ก็ยืนยันว่าจะเอารถลงก่อนแล้วค่อยหาอะไรกิน

เมื่อเราเอารถลงเสร็จ นัยก็นั่งกินมาม่า โทรศัพท์ก็เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตที่ความเร็วพอใช้ได้ ผมก็เริ่มทำความเข้าใจเหตุการณ์ ซึ่งปรากฏว่ามีสามกลุ่ม

กลุ่มแรก มอเตอร์ไซค์สี่คัน ถึงที่พักในปากเซเรียบร้อย พร้อมรถเซอร์วิส, ไกด์ได้รับกระเป๋าตังค์คืนเรียบร้อย เงินไม่ได้หายไป และถึงที่พักในปากเซเรียบร้อย ยังคงรอกันอยู่ ไม่ได้ข้ามแดนออกไปตามกำหนด

กลุ่มที่สอง มอเตอร์ไซค์แปดคัน รถยนต์หนึ่งคัน อยู่ระหว่างการเดินทาง ยังติดต่อไม่ได้

กลุ่มที่สาม มอเตอร์ไซค์สองคัน ดูคาติเหลือง กับฟอร์ซ่าสามร้อย, ผมกับนัย เราอยู่ในโรงแรม ในเมืองอัตปือ

ผมสื่อสารกับแมน ด้วยสงสัยว่าเหตุใดเราจึงไม่อยู่ในเส้นทางเดียวกัน

แมนอธิบายว่า พอคลาดกันกับกลุ่ม ก็ดูกูเกิล ซึ่งกูเกิลก็บอกให้ไปทางนั้น แล้วอธิบายต่อว่าไม่ได้ตั้งตำแหน่งที่จุดนัดพบสี่ แต่ตั้งที่จุดนัดพบห้าไปเลย

นัยกินมาม่าเสร็จ เราจอดรถไว้ในที่ที่มั่นใจว่าปลอดภัย แล้วจึงขึ้นห้อง เสื้อผ้านัย…อยู่ในรถ Service ผมแบ่งกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดใหม่ให้นัย แปรงสีฟันโรงแรมมีให้ อาบน้ำเสร็จก็หลับโดยไม่ทันได้ปิดไฟ

ผมทำความเข้าใจเหตุการณ์ผ่านไลน์ต่อ…สงสัยว่าไอ้แพททริค (ไอ้แพททริคเป็นใคร มาจากไหน และมีไลฟ์สไตล์ที่ยอดเยี่ยมอย่างไร จะหาโอกาสเล่าให้ฟังภายหลัง) ซึ่งเข้าไปในเส้นทางที่เราวิ่งแล้ว แต่เหตุใดจึงเปลี่ยนเส้นทาง…ซึ่งก็ได้รับคำตอบ…คำตอบที่พระที่เราพบในหนึ่งเดือนให้หลังเป็นคนตอบ

วิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้นไม่ได้เรียกไป…

แพททริคตอบว่า “ไอโชคดีมากว่ะ…ไอขี่รถไปเรื่อยๆ ปรากฏว่ามีคนเรียกให้ไอจอด แล้วบอกว่า อย่าไปทางนี้เลย ไปอีกทางหนึ่งดีกว่า” แพททริคเป็นคนอเมริกัน และคนที่เรียกให้แพททริคจอดก็เป็นคนอเมริกัน

ผมถามให้ชัดๆ อีกครั้งว่า “ยูจอดถามทางเค้ารึเปล่า” แพททริคยืนยันว่า “ไม่ได้ถาม แต่ถูกเรียกให้จอด…ถึงได้บอกว่าฉันโชคดีมาก”

จีซัสไครสท์ ช่วยมันไว้ แต่ถึงแม้ผมจะเป็นชาวซิกซ์ และนัยจะเป็นชาวพุทธ เราก็เติบโตมาในโรงเรียนคริสต์ และพอมีคอนเน็กชั่นกับพระเจ้าอยู่บ้าง พระเจ้าไม่น่าทอดทิ้งเรา พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา นี่คงเป็นเรื่องราวที่เราคงทำความเข้าใจได้ในภายหลัง…

แต่ไอ้แมนล่ะ วิญญาณเร่ร่อนน่าจะเรียกไอ้แมนไป มั่นน่ะสมควรจะถูกเรียกมากที่สุด

เวลาที่ไกด์แนะนำศาลเจ้า เล่าประวัติต่างๆ ให้เราฟัง เราก็เข้าไปไหว้ ขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอวยพรให้ทุกคนปลอดภัย ให้ทุกคนมีความสุข ให้ทุกคนสนุกสนานไปกับทริป

ไอ้แมนมันก็จะบอกด้วยสำเนียงหนุ่มใต้พูดกลางออกประชดประชันหน่อยๆ

ฟังแล้วขึ้นได้ง่ายๆ

“พี่ ขอพรเป็นภาษาอะไร”

“ภาษาไทย”

“สมมติถ้าพี่ไปเที่ยวอย่างมาเวียดนามเนี่ย พี่นั่งอยู่ในรถ มีคนขับ คนขับรถพูดภาษาไทยไม่ได้ พี่บอกเขาเป็นภาษาไทย เค้าจะฟังพี่เข้าใจมั้ย”

“ไม่เข้าใจ”

“แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พี่ขอพรน่ะ เค้าจะฟังพี่เข้าใจมั้ย …”

มันนั่นแหละควรจะถูกเรียกมากที่สุด มันนั่นแหละ…