การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ จักรยานของฉันโซ่หลุด แต่เราก็ไม่หยุดเดิน

ต้นกล้าใบยาสูบผลิช่อแตกใบอ่อนออกมา ดูเขียวสดชื่นตา งามไสวไปทั่วทุกแปลง พวกเราเหล่าคนงานพากันรดน้ำตามเวลา ถึงคราวเอาหญ้าก็เอาหญ้า ถึงคราวขึ้นแปลงขุดดินก็ขุดดิน พักเที่ยงก็กินข้าว ถอดหมวก ถอดผ้าคลุมหน้า ปล่อยสายลมพัดมาแตะต้องเนื้อตัว

ท้องทุ่งสวยงามในยามเช้า ร้อนจนทารุณในตอนบ่าย เย็นชื่นใจเมื่อมีลมฝนหล่นพรำ แต่หากฝนหนักเกินไป หรือเมื่อไหร่ที่ย่างเข้าหน้าหนาว ตะวันจะตกลับรวดเร็ว…ซึ่งมักเร็วเกินไป และการขี่รถถีบไปในสายลมพัดโกรก แข่งกับเวลาที่ฟ้าจะสะบัดความมืดซ่านกระเซ็นมาถึง จนครอบคลุมไว้ทุกสิ่งอย่าง นั่นคือความทรมานในอีกรูปแบบหนึ่ง

หากนั่นล่ะ วันเวลาของฉัน หมุนวนอยู่กับวงจรเหล่านั้น อยู่กับตะวันขึ้น ตะวันตก ตะวันตก ตะวันขึ้น

จนมาถึงวันที่ฉันยืดตัวขึ้นยืน กำด้ามจอบไว้ มองไปสุดขอบฟ้า

 

“เหม่อคิดอะไร!”

เป็นหวาน…เพื่อนที่เกือบๆ จะห่างกันไป แต่ก็ยังอยู่ในช่วงสายตา บางวันร่วมวงกินข้าวด้วยกันอยู่บ้าง ที่เดินเข้ามาใกล้

“คิดเยอะ” อะไรสักอย่าง ทำให้ออกปากไป “หลายอย่าง”

“อะไรบ้างล่ะ”

ใกล้จะถึงเวลาเลิกงานแล้ว ตะวันลอยดวงต่ำลงรอจะลับขอบฟ้า จากปลายตา เห็นว่าคนอื่นๆ กำลังเตรียมตัวจะพักกัน แต่ฉันยังเหลืองานในส่วนของตัวเอง

ตั้งใจจะทำแบบเหมา ถ้าเสร็จเท่าที่ตกลงไว้ก็กลับได้เลย ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงเลิกงาน แต่บางวัน ฉันก็เหมาไปแล้วทำไม่สำเร็จ ซึ่งกลายเป็นว่า ทุ่มเทแรงไปให้ตัวเองเหนื่อยกว่าเก่า

หรืออาจจะอย่างพี่โฟชอบว่า “มึงมันคนง่าว! คิดจะทำแต่เรื่องง่าวๆ!”

“เออ วันนี้เธอเหมางานรึ” หวานสอดส่ายสายตา ถามขึ้นมา

“อือ เหมาขึ้นแปลง”

“เหมายังไง ทำไปจนจะถึงห้าโมงแล้ว”

“ก็นึกว่าจะเสร็จสักสามโมงกว่า”

เหมางาน คือการทุ่มทำเพื่อให้ได้พักเร็วขึ้น ออกจากงานได้ก่อนเวลา โดยยังได้ค่าแรงรายวันเท่าเดิม แต่ทุกรอบของการเหมา จะเรียกเอาเรี่ยวแรงทั้งหมดจากเราสาหัสเสมอ

“ดูซินั่น มือเป็นแก้วหมดแล้ว”

“แก้ว” คือตุ่มน้ำพองอยู่ตามปลายนิ้วและฝ่ามือ จากการเสียดสีที่มากเกินไป

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็หาย”

ละมือจากด้ามจอบเสีย ใช้เพียงแขนเท้าไว้

“แล้วคิดอะไรอยู่ล่ะ” หวานยังหวนกลับมาหาคำถามเดิม

“…คิดว่า” ฉันชั่งใจ และเบือนตากลับไปมองปลายยอดภูเขาเบื้องหน้า “ถ้าเราไม่ต้องเป็นลูกจ้าง มันจะเป็นยังไง”

 

สิ่งที่ฉันไม่คิดเลยก็คือ หวานหย่อนตัวลงนั่งข้างคันนา ปลดหมวกออกจากหัว สะบัดให้เส้นผมสยายออก แล้วก็พูดว่า

“เธอมีความคิดดีๆ บ้างไหมล่ะ ฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน”

“หือ?” ฉันอดประหลาดใจไม่ได้ “เธอคิดว่ายังไง?”

“…จะคิดยังไงล่ะ ฉันก็อยากจะลืมตาอ้าปากให้ได้มากกว่านี้สิ”

เท่าที่ทำงานด้วยกันมา แม้ว่าหลายๆ ครั้ง หวานมักจะมาวนเวียนอยู่ใกล้ หรือแม้แต่…เมื่อมีบางเหตุการณ์ผ่านไป อันทำให้ฉันรู้สึกว่าต้องระวังตัวมากขึ้น

อาจเพราะ…สายตาที่ซ่อนฟางหญ้าเยียบเย็นเหล่านั้น ทำให้ฉันอยากขจัดบางร่องรอยทิ้งไป แต่เราก็ไม่เคยคุยกันในเรื่องอย่างนี้

แว่บเห็นร่างสูงของใครบางคนเคลื่อนไหวไกลๆ นั่นย่อมเป็นผู้หญิงผมยาวที่เราห่างกันไปอีกเรื่อยๆ แต่ฉันก็พอใจ

ตัดสินใจผลักจอบล้ม นั่งลงใกล้เพื่อน

“เธอก็ไม่อยากทำงานที่นี่หรือ?”

“หึ” หวานทำเสียง “ถ้ามีอะไรดีกว่านี้ เราจะอยู่ที่นี่ทำไมล่ะ”

ฉันไม่คิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าถึงวันหนึ่ง คนที่มีความคิดในแนวทางเดียวกับฉัน คือคนคนนี้

“เธอทำอะไรบ้างล่ะ”

“ฉันเหรอ…” ใบหน้าแป้นๆ นั้นมีรอยยิ้มสุกใสขึ้นมา “ฉันอยากจะมีบ้านหลังใหญ่ๆ สักหลังหนึ่ง จะได้ให้พ่อแม่อยู่กันสบาย อยากได้เงินสักก้อนเอามาเป็นทุนค้าขาย ถ้าไม่ต้องมารับจ้างรายวันอย่างนี้ ก็คงจะมีเวลาทำอะไรได้อีกหลายอย่าง แต่ต้องมีสตางค์เป็นทุน…มันยากตรงนั้นแหละ”

“อะไรหลายอย่าง…คืออะไรบ้าง”

“ก็อย่าง…อ่านหนังสือ เขียนหนังสือแบบเธอไง ฉันไม่เก่งหรอกนะ แต่ก็คงจะพอฝึกได้…มั้ง”

มากกว่าความประหลาดใจยิ่งขึ้น แล้วภาพเก่าก็ย้อนเข้ามา

“ฉันให้เธอ”

ใบเขียวสองใบในมือหวาน ที่ยื่นมาให้

“อยากให้…จะได้ช่วยเธอทำจุลสาร”

“เธออยากอ่านหนังสือเหรอ” เสียงฉันคงแผ่วเบากว่าปกติ จนหวานหันมามองหน้า

ตากลมๆ บนใบหน้าโทรมเหงื่อ ส่งยิ้มมาอีก

“อือ อยากอ่าน ฉันอยากรู้รสชาติแบบเธอบ้าง”

“รสชาติอะไร?”

“ไม่รู้” หวานหัวเราะออกมา “รสชาติของหนังสือมั้ง”

 

[ความทะยานอยากอันไม่สิ้นสุดคือสาเหตุพื้นฐาน1 ที่ทำให้โลกตกอยู่ในสภาพดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เร็วดีกว่าช้า มากดีกว่าน้อย “การพัฒนา” แบบชั่วแล่นเช่นนี้มีส่วนเกี่ยวพันโดยตรงกับความใกล้จะล่มสลายของสังคม สภาพเช่นนี้มีแต่จะทำให้มนุษย์ถูกแยกขาดออกจากธรรมชาติ

มนุษยชาติจะต้องละเลิกการหมกมุ่นอยู่ในความทะยานอยากทางวัตถุ และผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ควรจะมุ่งสู่การเห็นแจ้งทางจิตวิญญาณ

เกษตรกรรมจะต้องเปลี่ยนแปลงจากการผลิตด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่ มาเป็นเกษตรกรรมขนาดเล็กที่ผูกพันกับชีวิตแต่เพียงประการเดียว

ความเป็นอยู่ทางวัตถุ และอาหารการกินควรจะเรียบง่าย หากทำได้เช่นนี้ งานก็จะกลายเป็นสิ่งเพลิดเพลิน และจะมีที่ว่างมากมายสำหรับจิตวิญญาณ]

 

“ตอนนี้ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่งล่ะ มันดีมากๆ เลย”

ฉันตัดสินใจพูดออกไป และไม่ผิดหวังเลยกับท่าที

“เรื่องอะไร นิยายเหรอ”

แววตาที่กระตือรือร้นของหวาน ทำให้ฉันโล่งใจขึ้นอีก

ตะวันตกลงหลังเขาไปแล้ว คนอื่นๆ ทยอยออกจากแปลงเพาะกันเกือบหมด แต่ฉันยังนั่งอยู่ข้างเพื่อนเก่า ที่ราวกลายมาเป็นเพื่อนใหม่

บางเวลา เราก็พบว่า ของบางอย่างที่อยู่ใกล้ ใช่เราจะรู้จักทุกด้านของมัน

“ไม่ใช่นิยาย เป็น…เป็นบทความน่ะ”

ดั่งการเล่นตลกของโชคชะตา…

“เรื่องมันเป็นยังไง”

“มีคนญี่ปุ่นคนหนึ่ง ชื่อว่าฟูกูโอกะ เขาบอกว่า คนเราไม่ต้องใช้เงินมากๆ ก็ได้ ถ้าเรารับใช้ธรรมชาติ ทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี”

หวานมีสีหน้างุนงง

“รับใช้ธรรมชาติ…ยังไง”

“เขาพูดถึงว่า ถ้าเราทำไร่ทำนาโดยไม่ต้องใช้สารเคมี ไม่ต้องทำแบบรบกวนดินมากมาย ไม่ต้องไถ ไม่ต้องพรวน แค่หว่านเมล็ดข้าวเมล็ดพืชลงไป เราก็จะได้ผลผลิตที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ”

“เธอเอาหนังสือมาจากไหน”

“มีคนส่งมาให้”

“…เธออยากทำสวนเหรอ”

“ใช่ อยากลองทำ” ฉันพยักหน้า “ถ้าเรามีกระท่อมสักหลัง มีสวนสักหน่อย เราก็จะปลูกข้าวปลูกผักกินเองได้ ถ้าเราไม่ต้องใช้เงินซื้ออะไรมากมาย เราก็จะอยู่ได้ ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใครเขา เราก็คงจะอยู่ได้”

“ใช่! ฉันก็คิดอย่างนั้นล่ะ นี่ก็ไม่ได้อยากรวยอะไรมากมายหรอก ทุกวันนี้ก็หาเงินเอาไปซื้อข้าวซื้อจิ๊นนี่แหละ แต่ถ้าเรามีเงินก้อนบ้างก็จะดีนะ อยากจะซื้อเสื้อซื้อผ้า อยากจะปลูกบ้านก็พอทำได้”

“ถ้าเราใช้เงินน้อยๆ พอมีรายได้เข้ามา เราก็น่าจะเก็บฝากธนาคารได้ นานๆ ไปก็เบิกมาใช้เป็นก้อนอย่างที่ต้องการ”

“เธอคิดเก่งจังเลย!” หวานมองหน้าฉัน และเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า แววตาคู่นั้น เปล่งฝันเสียจนเจิดจ้า

แทบจะเหมือนแววตาที่เคยเห็น…ของชื่นใจ

“หนังสือเขียนว่ายังไงอีก” มีความกระตือรือร้นจนรู้สึกดีเพิ่มขึ้นอีก

“ถ้าเธอสนใจ เอาไว้ฉันจะอ่านให้ฟังเอามั้ย…หรือจะเอาไปอ่านเอง”

“สนใจ เอาๆ ให้เธออ่านให้ฟัง”

 

[ยิ่งเกษตรกรเพิ่มขนาดการผลิตมากขึ้นเท่าไหร่ ร่างกายและจิตใจของเขาก็จะยิ่งเหนื่อยล้ายุ่งเหยิงมากขึ้นเท่านั้น และเขาก็จะยิ่งห่างไกลจากชีวิตที่งอกงามไพบูลย์ในทางจิตวิญญาณ วิถีชีวิตแห่งเกษตรกรรมขนาดเล็กอาจจะดูโบราณล้าหลัง แต่วิถีชีวิตเช่นนั้น ย่อมเอื้อต่อการเพ่งพินิจ “หนทางอันยิ่งใหญ่”

ผมเชื่อว่าถ้าบุคคลใดเข้าใจเพื่อนบ้านของตน และโลกแต่ละวันที่เขามีชีวิตอยู่อย่างลึกซึ้ง ความยิ่งใหญ่ของโลกก็จะเปิดเผยตัวเองกับเขา…]

 

ตะวันตกลับหลังเขาไปแล้ว บนถนนที่ทอดจากแปลงเพาะกลับสู่หมู่บ้าน ได้กลิ่นฝุ่นและควันไฟล่องลอยปะปนมา เช่นเคย ที่จักรยานของฉันโซ่หลุด แต่เราก็ไม่หยุดเดิน…เราจูงจักรยานเดินเคียงไหล่กัน

นั่นคือวันที่ฉันกับหวานได้เริ่มต้นความสัมพันธ์อีกครั้งในรูปแบบใหม่ๆ และเป็น “คน” คนแรก ที่ฉันเขียนไปในจดหมาย เล่าให้เพียงบัวฟัง

—————————————————————————————————————————
(1) จากหนังสือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เขียน รสนา โตสิตระกูล แปล