ฉัตรสุมาลย์ : การประชุมเรื่องอิสรภาพทางศาสนา

ผู้เขียนติดตามภิกษุณีธัมมนันทาไปประชุมที่ไต้หวันครั้งนี้ ได้ตั๋วถูกสุดเลยค่ะ สายการบินนี้ กรุงเทพฯ-ไทเป เพียง 9,000+ ปกติต้องมากกว่าหนึ่งหมื่น มิหนำซ้ำหากจ่ายสด ได้ลดอีก 300 บาท

เจ้าภาพคือ IRF (International Religious Freedom) ซึ่งเป็นหน่วยงานของสหรัฐอเมริกา ร่วมกับเจ้าภาพท้องถิ่น คือกระทรวงต่างประเทศของไต้หวัน การดำเนินงาน ตั้งแต่การติดต่อเชิญ และรายละเอียดต่างๆ นับว่ามืออาชีพมากกว่าทุกครั้งที่เคยสัมผัสมา

ได้รับการติดต่อเพียง 2 อาทิตย์ก่อนงานประชุมจริง ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะถ้าเป็นงานทางวิชาการ เราจะเชิญล่วงหน้าอย่างต่ำ 6 เดือน แม้กระนั้น ก็ยังดำเนินการได้ราบรื่นดีทุกจุด

คุณโอลิเวีย คนที่ติดต่อกับเรา ให้รายละเอียดว่า เมื่อถึงสนามบินจะมีเจ้าหน้าที่มารับ โดยจะถือป้ายชื่อของเรา

อันนี้แปลก ปกติเราจะยกป้ายชื่องานประชุม และจะมีโต๊ะรวมพลผู้เข้าร่วมประชุม เพื่อจัดให้ขึ้นรถบัสคันใหญ่ด้วยกัน ในกรณีที่เครื่องลงเวลาใกล้เคียงกัน

เมื่อเราเข้าร่วมประชุมเราจึงถึงบางอ้อ ว่าทำไมการจัดงานครั้งนี้จึงเป็นแบบนี้

 

คนที่มารับ ที่ชูป้ายชื่อของเรา ก็ดูจะมืออาชีพ เป็นชายหนุ่มใหญ่ ใส่สูทสีน้ำเงิน เมื่อพบกันแล้ว ก็นำเราออกมาที่จอดรถด้านนอกอาคาร ที่มีรถเก๋งคันเล็กมารับเฉพาะเราจริงๆ ไม่ต้องรอคนอื่นๆ

อันนี้ก็แปลก

ข้อนี้เราก็ไปถึงบางอ้อในงานอีกเช่นกัน ว่าทำไมเราจึงได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษ ไม่ใช่เฉพาะเรา แต่เขารับผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนเช่นนั้น

เราพักที่โรงแรม 5 ดาวของไทเป ใจกลางใจเมืองหลวงทีเดียว ดูเหมือนว่า แขกที่ได้รับเชิญ เจ้าภาพจัดให้อยู่ชั้นเดียวกันหมด คือชั้น 10 โรงแรมมี 12 ชั้นค่ะ

โรงแรมประเภทนี้ เพื่อความปลอดภัยของแขกที่มาพัก เราต้องใช้การ์ดที่เราใช้เป็นกุญแจเปิดห้องนั้น รูดกับจอในลิฟต์เพื่อเป็นบัตรผ่านขึ้นไปชั้นที่เราพักด้วยค่ะ

หมายความว่า ถ้าเป็นคนอื่นนอกเหนือจากที่อยู่ชั้นนั้นๆ จะขึ้นไม่ได้

มันไม่ได้ให้ความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์จริงๆ ดอก แต่อย่างน้อยก็ทำให้แขกที่มาพักมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

บางครั้งเราขึ้นลิฟต์พร้อมคนอื่น เราก็อาศัยการ์ดของคนอื่นขึ้นได้เหมือนกัน

การใช้ระบบนี้ ระบบเทคโนโลยีที่ควบคุมต้องดีจริงๆ มิฉะนั้น ก็กลายเป็นความน่ารำคาญ โรงแรมฮินดูสถานที่พาราณสีใช้ระบบนี้ ปรากฏว่าเข้าห้องไม่ได้ เพราะการ์ดใช้งานไม่ได้ ต้องลงมาที่ประชาสัมพันธ์ (front desk) ขอให้เขาทำการ์ดให้ใหม่

กลายเป็นความไม่สะดวกและสร้างความน่ารำคาญไป

 

เล่าถึงงานเปิดการประชุมนะคะ ผู้จัดเขาเตือนให้เรามาลงทะเบียนก่อนเวลา เพราะต้องเดินผ่านเอ็กซเรย์เพื่อตรวจความปลอดภัย

อะไรจะประมาณนั้น

ผู้เข้าร่วมประชุมที่ได้รับเชิญจริงอยู่ที่ 80-90 คน แต่พิธีเปิดก็จะมีแขกท้องถิ่นมาร่วม น่าจะประมาณ 300 คน

ทางฝั่งผู้จัดฝ่ายอเมริกา เป็นท่านซามูเอล บราวน์แบ็ก มาเอง ท่านเป็นทูตระดับสูง เรียกภาษาอังกฤษว่า Ambassador at large ไม่ค่อยรู้เรื่องการทูตค่ะ แปลไม่เป็น รู้ว่าท่านเป็นทูตระดับสูงแน่ๆ

ทางฝ่ายเจ้าภาพท้องถิ่น ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศมากล่าวเปิด และที่น่าประทับใจมากกว่านั้น คือท่านประธานาธิบดีคนแรกของไต้หวันที่เป็นผู้หญิง คือ ฯพณฯ ไซ่อินเหวิน ตัวจริงมากล่าวเปิดงานเอง อันนี้ไม่ได้อยู่ในวาระการประชุมเดิมด้วยซ้ำ และที่น่าแปลก ผู้จัดบอกเราว่า ไม่ให้เปิดเผย

พอเสร็จสิ้นพิธีการเปิดประชุมอย่างเป็นทางการแล้ว เป็นการประชุมปิดค่ะ ไม่มีคนนอกเข้าร่วม ผู้พูดบนเวที เขาก็จัดมาเสร็จ

 

เวทีแรก เริ่มจะถึงบางอ้อเล็กๆ แล้วว่า ไอ้ที่เขาเรียกว่า อิสรภาพทางศาสนานานาชาตินั้น จริงๆ แล้วเขาสนใจประเด็นเรื่องมุสลิมในจีน คือพวกอุยกูร์ที่อยู่ในรัฐซินเกียง มีผู้พูดอย่างน้อยสองคนที่เป็นอุยกูร์ คนหนึ่งเป็นผู้หญิง ยังมีพี่น้องอยู่ในค่ายกักกันในซินเกียง

อีกคนหนึ่งเป็นผู้ชาย มีพ่อแม่อยู่ในซินเกียงที่ไม่สามารถติดต่อกันได้ คนนี้เล่าว่า พ่ออายุ 79 แล้ว สุขภาพก็ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังไม่สามารถติดต่อกันได้

ประเด็นที่ที่ประชุมสนใจคือ เรียกร้องความสนใจจากนานาชาติให้เข้าใจสภาพพี่น้องชาวอุยกูร์ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติกิจทางศาสนา ฯลฯ เราทางเมืองไทยก็จะได้ข่าวคราวเป็นบางครั้งถึงพี่น้องชาวอุยกูร์ ที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมจากจีนฮั่น

รากของวัฒนธรรม คือศาสนา และภาษา

ปัญหาของพวกอุยกูร์เป็นปัญหาแบบเดียวกับชาวทิเบตที่อยู่ภายใต้การปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่ พลังของพวกอุยกูร์คือพลังทางศาสนา นั่นคือ ศาสนาอิสลาม พลังของพวกทิเบตคือ ศาสนาพุทธที่เป็นพลังยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวทิเบต

น้องหนู (อายุไม่เกิน 30) ที่เขาเชิญมาเป็นวิทยากรให้ความรู้เกี่ยวกับทิเบตนั้น เป็นอาสาสมัครที่เพิ่งเข้ามาทำงานเมื่อ 3 ปีมานี้เอง

จะช่วยอะไรได้ไหมเนี่ยะ

 

ที่เคยได้ฟังจากปากคำของชาวจีนเองเมื่อ พ.ศ.2561 แน่นอนที่สุดสิ่งที่ชาวจีนรู้ คือสิ่งที่รัฐบาลจีนให้รู้ คือที่จำเป็นต้องขีดวงจำกัดให้พวกอุยกูร์เดินทางได้เฉพาะในซินเกียงเพราะมีเหตุการณ์ที่มีกลุ่มเด็กหนุ่มชาวอุยกูร์ลุกขึ้นมาเอามีดฟันชาวจีนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ที่สถานีรถไฟ ทำให้มีคนตายหลายคน เวลาเราขึ้นรถไฟ เราถึงถูกตรวจละเอียด ไม่อนุญาตพกพาวัตถุที่จะให้เป็นอาวุธทั้งสิ้น และจากเหตุการณ์นี้ รัฐบาลจีนจึงต้องใช้มาตรการรัดกุมมากขึ้นกับพวกอุยกูร์

สำหรับที่ฮ่องกงก็มีการพูดกันถึงเรื่องการปกครองที่กำลังอยู่ระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อจากการที่เคยอยู่ภายใต้อังกฤษมาอยู่ในการปกครองของจีน

มีตัวแทนของฟาลุนกงหลายคนที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ บางคนเล่าว่า เคยถูกรัฐบาลจีนจับไปกักขังนานร่วมสองเดือน พวกนี้เป็นพวกที่มีความเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัย เพราะฉะนั้น เจ้าภาพจึงต้อนรับเป็นพิเศษ โดยเฉพาะประเด็นที่ให้ความปลอดภัยแก่ผู้มาร่วมในการประชุม

และเพราะเหตุนี้เราจึงรู้สึกว่า เราได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษจริงๆ อุตส่าห์หลงดีใจ

หน่วยงานเจ้าภาพ พยายามรณรงค์ให้จีนไต้หวัน ร่วมกันจัดโต๊ะกลมเพื่อพูดคุยเรื่องอิสรภาพทางศาสนาในประเด็นที่ว่านี้

 

พวกเราเข้าไปเป็นไม้ประดับเพื่อให้เกิดความเป็นนานาชาติทางศาสนาเท่านั้น

เป้าหมายสำคัญของ IRF ครั้งนี้ คือสร้างความร่วมมือกับรัฐบาลไต้หวัน ให้มีส่วนร่วมในการจัดการกับประเด็นที่ว่ามาข้างต้น

ทางฝ่ายเจ้าภาพอเมริกัน ให้ความสนใจประเด็นทางการเมืองชัดเจน ศาสนิกชนจากต่างศาสนาและต่างประเทศก็เพียงไปรับรู้และรับฟังความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งสอง

ทำไมเขาไม่พูดกันเองระหว่างอเมริกาและไต้หวัน

ก็หน่วยงานของเขามีชื่อว่า อิสรภาพทางศาสนานานาชาติไง

ปรากฏว่า ความพยายามของอเมริกาได้ผลอย่างเป็นรูปธรรม ตอนเย็นสุดท้ายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเป็นเจ้าภาพ งานเลี้ยงอาหารค่ำ รัฐบาลจีนไต้หวันจัดสรรงบประมาณ 2 แสนเหรียญสหรัฐ เพื่อดูแลกรณีที่ถูกละเมิดในทางอิสรภาพทางศาสนา พูดตรงๆ คือ กรณีที่หนีออกมาจากจีนแผ่นดินใหญ่นั่นกระมัง

นอกจากนั้น ยังมีการแต่งตั้งอาจารย์ท่านหนึ่งให้เป็นหัวหน้าหน่วยงานที่จะดูแลกรณีที่ว่านี้ ที่ถูกละเมิดทางศาสนา ในความหมายที่สองประเทศเขารู้กันเอง

เราเพียงเข้าไปรับฟังเท่านั้นเอง สิ่งที่ผู้เข้าร่วมประชุมสนใจ ไม่ใช่ประเด็นที่ผู้จัดสนใจ แต่เขาก็ให้โอกาสพูดนะ อยากพูดอะไรก็พูดไป

เป็นการประชุมที่ได้เรียนรู้เยอะ คือเรียนรู้ว่า พี่นั่งเงียบๆ ก็ได้ ไม่ต้องมีส่วนร่วมในการพูดคุยมากนัก เพราะเขามีประเด็นของเขาอยู่ในจานเรียบร้อยแล้ว

แฮะ แฮะ