ฟ้า พูลวรลักษณ์ | ทำไมบางประเทศ กำหนดกฎหมายห้ามทำลายต้นไม้ได้ แต่ไทย…

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก เล่มใหม่ (๒๗)

ฉันประทับใจที่มีบางประเทศกำหนดไว้เป็นกฎหมายเลยว่าห้ามทำลายต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว

ไม่เฉพาะในป่าสงวน แต่ในทุกที่ หากใครต้องการฟันต้นไม้ เขาต้องมาขออนุญาตรัฐบาลเสียก่อน ฉันว่านี้เป็นกฎหมายที่ดีมาก มันทำให้อารยธรรมมนุษย์สูงส่งขึ้น เพราะต้นไม้เหล่านั้นอ่อนแอ ป้องกันตัวเองไม่ได้

แต่มันคือพันธมิตรของมนุษย์มาช้านาน

เวลาฉันเดินไปในโลกนี้ ฉันสังเกตต้นไม้ พบว่าในหลายประเทศที่ไม่มีกฎหมายป้องกัน ต้นไม้มีสภาพขาดการดูแล ถูกฟัน ถูกหัก มันทำให้ฉันคิดว่า ชนชาตินี้ช่างป่าเถื่อนเสียจริง

เรามาถึงวันนี้ น่าจะรู้ตัวได้แล้วว่าต้นไม้แต่ละต้นคือชีวิตที่เราควรรักษา

อย่างในเมืองไทย ฉันเดินตามถนน หรือแม้เข้าไปในย่านที่เป็นที่สาธารณะ ตามชายหาด ฉันเห็นต้นไม้ที่มีริ้วรอยของการหักกิ่งก้าน ต้นไม้เหล่านั้นไม่ได้ถูกโค่นล้มลง เพียงเพราะการโค่นต้นไม้ใหญ่ ต้องใช้แรงงานมาก ต้องมีเครื่องมือ พวกมันจึงยังรอดอยู่

แต่อยู่แบบพิกลพิการ ไม่สวยงามเลย

ฉันอดคิดถึงเรื่องผงชูรสไม่ได้ ด้วยความรู้สึก เราก็รู้ว่าผงชูรสไม่ใช่สิ่งดี แต่จะไปกำหนดว่ามันมีโทษอะไร ทำได้ยากเช่นกัน กล่าวคือ มันไม่ใช่สารพิษ เราไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า มันทำให้เกิดผลร้ายแรงอะไร เพียงแต่เราอย่าใส่เยอะเกินไปเท่านั้น

แต่เท่าไรคืออย่าเยอะเกินไป เราจะรู้ได้อย่างไร ในร้านอาหารข้างนอก

รัฐบาลที่เจริญแล้ว น่าจะออกกฎหมายห้ามภัตตาคาร ร้านอาหารด้านนอก ห้ามใส่ผงชูรส มันเป็นการตัดสินใจง่ายๆ ขึ้นกับหลักการว่า รัฐต้องการดูแลสุขภาพของประชากร

และสังคมทุกวันนี้ได้ก้าวเข้าสู่สังคมของผู้สูงอายุ เรายิ่งต้องคำนึงถึงสุขภาพ

ที่จริงแล้ว ผงชูรสอาจไม่ได้ให้โทษร้ายแรง แต่ทว่ามันก็ไม่จำเป็นเลย มันเป็นอาหารของคนมักง่าย ต้องการเพิ่มรสอย่างรวดเร็ว โดยลงทุนลงแรงน้อยที่สุด คนมักง่ายเหล่านี้จะมักง่ายในทุกเรื่อง เริ่มต้นด้วยการกินอาหาร

เวลาฉันกินอาหาร ฉันเน้นรสจืด และพบว่า สุขภาพของมนุษย์จะดีกว่ามากมาย หากเรากินรสจืด หรือลดความแรงของรสชาติลง

ไม่ใช่เพราะเราต้องกินอาหารพิเศษอันใด เรากินอาหาร basic ที่สุด ธรรมดาที่สุด เช่น ผัก ก็แค่ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า ผักบุ้ง กินเนื้อ ก็แค่เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา ซึ่งล้วนธรรมดา หาได้ง่าย

แต่เรากินรสจืด ด้วยอาหารเหล่านั้นมีรสในตัวเองอยู่แล้ว

คนที่ฉันรังเกียจมากคือคนที่กินอาหารแบบฟุ่มเฟือย มื้อหนึ่งหลายพันหรือเป็นหมื่น หรือหลายหมื่น

ฉันนึกไม่ออกถึงความจำเป็นอันใดเลย อาจยกเว้นให้ปีละครั้ง เช่น ในวันเกิดของเขา หากเขาคิดจะทำอะไรแตกต่าง อยากกินของแปลกๆ แต่ในวันธรรมดาแล้ว ฉันรับไม่ได้เลย เราทุกคนรู้อยู่แล้วว่า อาหารใดก็ตามกินเข้าไปแล้ว ก็กลายเป็นอุจจาระเหมือนกันหมด

คนกินฟุ่มเฟือยเหล่านั้น ในสายตาของฉันคือคนกินอุจจาระ

มนุษย์แตกต่างกัน ฉันไม่ได้ไปบังคับคนอื่น คนเราหากอยู่บ้าน อยากใส่ชูรสมากเท่าไรก็ขึ้นกับตัวเขา สุขภาพของเขา เขาดูแลตัวเอง

ปัญหาขึ้นกับประโยคที่ว่า

ที่ฉันต้องยุ่งกับคุณ เพราะคุณทำอาหารให้ฉันกิน

หากคุณทำอาหารให้ตัวเอง ก็ขึ้นกับคุณ

เวลาฉันออกข้างนอกในเมืองไทย อาหารจำนวนมากกินได้ยาก ต้องระมัดระวัง จะเดินไปบอกเขาว่าอย่าใส่ผงชูรสทุกครั้ง ในทางปฏิบัติก็ทำได้ยาก บางร้านอาจรำคาญฉันด้วยซ้ำ

บางทีฉันลืมบอก มารู้สึกตัวอีกที เวลากินเข้าไปแล้ว พบว่าเขาใส่ผงชูรสมากเกินไป

บางครั้งบอกเขาแล้ว แต่เขาบอกว่าแก้ไขไม่ได้ เพราะชูรสถูกใส่เข้าไปแล้วในน้ำซุป ในเครื่องปรุงทั้งหมด

ที่จริงหากมนุษย์มีความเจริญเพียงพอ มีความพอดี พอเหมาะพอควร พวกเขาย่อมรู้ว่าควรทำยังไง โดยไม่ต้องมีกฎหมายมาบังคับ เช่น ไม่ใส่ ถ้าไม่จำเป็น หรือใส่แต่เพียงเล็กน้อย

ประเด็นนี้เองที่ลึกซึ้ง เพราะมันเกี่ยวกับรัฐ

หากรัฐมองการณ์ไกล รักและเป็นห่วงสุขภาพของประชากร รัฐน่าจะออกกฎหมาย ห้ามร้านอาหารข้างนอกไม่ให้ใส่ผงชูรส จะเกิดผลดีมากมาย

ที่จริงรสชาติอาหาร หากจะทำให้อร่อย มีหลายวิธี เช่น น้ำแกง เราอาจต้มกระดูกหมูให้นานพอ น้ำแกงก็หวานอร่อย เพียงแต่กรรมวิธีเหล่านั้น คนทำต้องละเอียดอ่อนขึ้นมาหน่อย แต่หากคุณจะทำอาหารให้คนอื่นทาน คุณก็ควรเอาใจใส่หน่อย มิใช่หรือ

ผงชูรส ไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่ที่คนทานเยอะ มาจากความมักง่ายและเคยชิน หากกินบ่อยๆ ก็จะคิดว่าเป็นเรื่องปกติ เหมือนอาหารมากมายในโลกนี้ที่ไร้ประโยชน์ แต่กินแล้วติด มารู้สึกตัวอีกทีว่าไม่ควรกิน ก็สายเกินไปแล้ว มันใช้เวลาสะสมพิษของมัน

บางคนอาจแปลกใจว่าทำไมรัฐต้องมายุ่งยากกับสุขภาพของประชากรของเขา แต่ฉันว่าสิ่งนี้สำคัญ และเป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐ วิธีการก็ไม่ยุ่งยาก แค่ห้ามร้านอาหารเหล่านั้นเท่านั้นเอง ทันทีที่ออกมาเป็นกฎหมาย การใช้ผงชูรสจะลดฮวบลงทันที และกาลเวลาผ่านไปสักหนึ่งทศวรรษ ผู้คนก็จะไม่รู้สึกอะไร

เราจะคุ้นเคยกับรสชาติอาหารใหม่อีกแบบ ที่เป็นธรรมชาติกว่า

และจิตใจคนก็จะหยาบน้อยลง

๘ฉันรู้จักคนหลายคนที่แพ้ผงชูรส เรียกว่าเกิดอาการเร็วมาก มีอาการลิ้นชา คอแห้ง และร่างกายไม่ปกติไปหนึ่งวัน บางคนเพียงแค่กินเข้าไปมื้อเดียวเท่านั้น จะบ่นว่าร่างกายผิดปกติ บอกไม่ถูก คือไม่สบาย แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าไม่สบายอะไร นอนไม่หลับ

คนที่แพ้ผงชูรสเหล่านั้น ไม่ใช่เพราะร่างกายของพวกเขาผิดปกติ หรือสุขภาพไม่ดี หากเป็นเพราะตรงกันข้าม เพราะพวกเขาสุขภาพดีต่างหาก พวกเขาคุ้นเคยกับการกินอาหารดีๆ ที่ปรุงอย่างถูกต้อง พอบางครั้งออกไปนอกบ้าน เผลอกินอาหารในร้านที่ใส่ชูรสเข้าไปเยอะ จึงล้มป่วยลง ร่างกายส่งสัญญาณเตือนอย่างชัดเจน ว่าสิ่งนี้ไม่ดี

มันไม่ดียังไง เราคงพิสูจน์ไม่ได้ แต่สิ่งนี้เหมือนน้ำอัดลม ที่ไม่จำเป็นเลย แต่น้ำอัดลม อยู่ที่คุณสั่ง คุณจะดื่มจึงค่อยสั่ง แต่ผงชูรส เขาใส่มาให้เลย ตรงนี้เองที่แตกต่าง หากทางร้านต้องรอก่อน รอลูกค้าขอมา ว่าช่วยใส่ผงชูรสให้หน่อย จึงค่อยใส่ อันนี้ฉันจะไม่ว่าเลย

แต่นี้เป็นตรงกันข้าม พวกเขาใส่มาให้เลย

เหมือนหนึ่งเชื่อว่าทุกคนชอบทาน

ยกเว้นแต่ว่าคุณไหวตัวทันไปบอกเขาว่าอย่าใส่ แต่ใครจะไหวตัวทันทุกครั้ง

แต่ใครจะตัดสิน

ปัญหาอยู่ที่ว่าร้านอาหารเหล่านั้นตัดสินแทนคนกิน พวกเขาใส่เข้าไป และกำหนดปริมาณตามจิตสำนึกของตนเอง ประชากรต้องหวังพึ่งพาจิตสำนึกของพวกเขา

บางคนอาจบอกว่า ก็เลือกร้านเอาเองซิ แต่ฉันหมายถึงร้านอาหารข้างนอก ซึ่งเวลาฉันเดินทาง ฉันจะเลือกได้อย่างไร และทำไมฉันต้องเลือก รัฐไม่มาปกป้องฉันหรือ สิ่งนี้ต่างหากที่ฉันต้องการรัฐ และมีแต่รัฐเท่านั้นที่จะแก้ปัญหานี้ได้

ยิ่งคนมีอายุ พวกเขายิ่งต้องละเอียดอ่อนกับอาหาร อาหารที่รสจัด รสเค็ม จะทำลายไตของพวกเขา ด้วยเพราะไตของพวกเขาอ่อนแอลงตามวัย

๑๐มีวันหนึ่ง ฉันนั่งรถโค้ชในประเทศอังกฤษ มีหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งเดินไปเปิดหน้าต่างด้านบน เพราะในรถจะค่อนข้างร้อนและอบอ้าว แต่ที่นั่งข้างๆ ฉันมียายแก่คนหนึ่ง เธอบ่นว่าลมแรงๆ หนาวๆ และขอให้หนุ่มคนนั้นปิดหน้าต่างเสีย

เขามีท่าทีหงุดหงิดมากเลย หันมาหาฉัน เหมือนจะขอความเห็นใจ

แต่ทว่าฉันเห็นใจยายแก่คนนั้นมากกว่า ที่จริง การมีลมเข้ามาบ้างก็ดี สำหรับฉันไม่ว่าอะไร แต่ร่างกายของคนเราไม่เหมือนกัน ยายแก่คนนั้น ร่างกายของเธออ่อนแอลงมากแล้ว ลมที่โกรกเข้ามา สำหรับเธอ มันมากเกินไป มันมีผลร้ายแรง คนหนุ่มสาวอาจไม่รู้สึก แต่พวกเขาต้องคิดนิดหนึ่ง ต้องเข้าใจความแตกต่างของร่างกายมนุษย์

และเราต้องห่วงใยคนสูงอายุมากกว่า เราต้องห่วงใยพ่อแม่ พวกเขาอ่อนแอลงแล้ว