บทวิเคราะห์ : วันแดงเดือด

ในประเทศ

 

วันแดงเดือด

 

หากติดตามสารนายกฯ คำแถลงผู้บัญชาการเหล่าทัพ และคำแถลงของผู้บัญชาการทหารบก

เราจะเห็นความ “สอดคล้อง” และเป็น “หนึ่งเดียวกัน” อย่างแจ่มชัด และอย่างน่าสังเกต

สารนายกฯ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ย้ำถึง

การสร้างความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมือง สร้างความรัก ความศรัทธาต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

การรวมจัดตั้งรัฐบาลของพรรคต่างๆ เป็นการรวมกลุ่มกันเพื่อทำความดีให้กับชาติบ้านเมืองและประชาชน และขจัดคนไม่ดีหรือคนที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายออกไป

ส่วนสารนายกฯ วันที่ 1 เมษายน

พล.อ.ประยุทธ์ยังย้ำ นอกจากการทำสถานการณ์บ้านเมืองให้เป็นปกติสุขแล้ว

ยังเปิดข้อมูลว่า มีผู้ไม่หวังดีบางคนบางกลุ่มใช้โซเชียลมีเดียและใช้บุคคลบางกลุ่มเข้ามาปลูกฝังแนวคิดที่ไม่ถูกต้องแก่ประชาชนทั่วไป เพื่อมุ่งหวังให้บ้านเมืองเกิดความไม่สงบและบ่อนทำลายสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

มีการร้องขอความร่วมมือให้ผู้ปกครองเอาใจใส่ลูกหลานของตนและบุคคลใกล้ชิด ครู-อาจารย์ควรต้องอบรมบ่มนิสัย ดูแลลูกศิษย์อย่างเข้าถึง

เพื่อให้รับรู้ข่าวสารอย่างมีเหตุมีผล

ขณะที่คำแถลงผู้นำเหล่าทัพเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่กรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) ภายหลังการประชุมผู้บัญชาการทางทหาร โดยมี ผบ.เหล่าทัพและ ผบ.ตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุมนั้น

พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทหารสูงสุด) ได้ย้ำจุดยืนของกองทัพในการดำเนินการตามแนวพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ระบุว่า เราไม่สามารถทําให้ทุกคนเป็นคนดี แต่เราเลือกคนดีเข้ามาบริหาร มีอำนาจได้ แล้วเราทุกคนในสังคมต่างๆ ก็ยึดมั่นในแนวปฏิบัติอันนี้

พล.อ.พรพิพัฒน์ยังกล่าวในฐานะประธานมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร (รร.ตท.) ว่า คณะกรรมการมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหารมีมติถอดชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากการเป็นศิษย์เก่าดีเด่น และเรียกคืนรางวัลเกียรติยศจักรดาวที่ได้รับเมื่อปี 2534

รางวัลนี้เป็นรางวัลเกียรติยศ ผู้รับก็ต้องรักษาเกียรตินั้นไว้ ถ้ามีข้อมูลในทางใดที่ผู้รับไม่สามารถรักษาเกียรติไว้ได้ก็ต้องเรียกคืน

“ศิษย์เก่าเตรียมทหารมีมาตรฐานทางจริยธรรม โดยเฉพาะมาตรฐานในความจงรักภักดี ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่เรายึดถือ จะรู้และระมัดระวัง ไม่ล่วงเกินทางใดทางหนึ่ง ผู้ใดล่วงละเมิดล่วงเกิน อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า หากไม่รู้ว่าอะไรสูง อะไรต่ำ ก็ต้องมีมาตรการทางใดทางหนึ่งจัดการ” ผบ.ทหารสูงสุดกล่าว

 

ทั้งนี้ หลังจากกรณีถอดชื่อนายทักษิณออกจากเกียรติยศจักรดาวแล้ว

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม

ให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ฝ่ายหน้า และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลอื่นจากนายทักษิณ ชินวัตร

เนื่องจากถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาถึงที่สุดลงโทษจำคุก และยังมีข้อหาฐานอื่นๆ อีกหลายคดี

อีกทั้งได้หลบหนีออกนอกราชอาณาจักรซึ่งเป็นพฤติการณ์การกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ฝ่ายหน้า ชั้นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก ประถมาภรณ์ช้างเผือก จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก

เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย

เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นปฐมดิเรกคุณาภรณ์ และเหรียญลูกเสือสดุดี ชั้นที่ 1

ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม พุทธศักราช 2562

ต่อมาวันที่ 2 เมษายน พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ใช้โอกาสที่ไปเป็นประธานในวันสถาปนา 112 ปี กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.)

เปิดแถลงต่อสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ

โดยเน้นไปที่คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ ด้วยการยอมรับว่า

“อยากบอกถึงประชาชน นิสิต นักศึกษาว่า เราอาจจะมีช่องว่างในการสื่อสารซึ่งกันและกัน รัฐบาลและกองทัพอาจจะทำงานและสื่อสารคนละภาษากับที่ท่านอยากจะฟัง แต่กองทัพบกจะพยายามสื่อสารมากขึ้น”

เพราะ “สื่อโซเชียลนั้นเป็นอาวุธที่มีอานุภาพยิ่งกว่าอาวุธที่กองทัพมีอยู่”

ซึ่งตรงนี้เอง กองทัพคงจะให้ความสำคัญสื่อโซเชียลมากขึ้นแน่นอน เพื่อสร้างความเข้าใจกันและกัน

ขณะเดียวกัน พล.อ.อภิรัชต์ยังข้องใจถึงการไม่ยอมรับกติกาในปัจจุบันนั้น

“เรามีกติกากันอยู่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำลังทำหน้าที่อยู่ ถ้าจะพูดกันให้เข้าใจก็เหมือนการแข่งขันฟุตบอล ฟุตบอลแพ้แต่คนเชียร์ไม่แพ้ มันไม่ใช่ ถ้าประเทศไทยไม่ยอมรับกติกาที่มีอยู่ แล้วแบ่งแยกระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการซึ่งเป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมา ผมถามว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือเป็นเผด็จการ ผมถามว่าเราเป็นคนไทยด้วยกันหรือไม่ วาทกรรมนี้ถูกแบ่งมาเพื่ออะไร”

“ต้องการให้เกิดสงครามกลางเมืองที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหรืออย่างไร”

“ผมขอร้องให้สื่อมวลชนนั้นได้สื่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้นำสู่ประชาชน นิสิต นักศึกษา ส่วนใหญ่เรียนประเทศไทย จบที่ประเทศไทย รับพระราชทานปริญญาบัตรกับพระเจ้าอยู่หัว หรือพระบรมวงศานุวงศ์”

“เราเติบโตกันที่นี่ หลายคนเป็นนักธุรกิจ พอเติบโตกันขึ้นมา มีเงินมีทองขึ้นมาก็เพราะแผ่นดินไทยหรือไม่”

 

ในประเด็นเศรษฐี นักธุรกิจนี้ พล.อ.อภิรัชต์ขยายความเพิ่มไปอีกว่า

“ผมชื่นชมเศรษฐีมีเงิน มีอำนาจ มีบารมี หลายคนที่ได้ผิดพลาดกระทำความผิดทุจริต คอร์รัปชั่นหรือโกงอะไรก็แล้วแต่… เมื่อศาลของประเทศไทยได้ตัดสินแล้วว่าเขาจะต้องถูกจำคุก หลายท่านก็ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ผมต้องขอยกย่อง”

“นี่คือคนมีน้ำใจนักกีฬา”

“มิใช่ทำอะไรผิดแล้วก็บอกว่าตัดสินแบบนี้ยอมรับไม่ได้ ไม่เคยยอมรับขบวนการแล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร”

แน่นอน แม้มิได้ออกชื่อว่าเป็นใคร

แต่ทุกคนก็น่าจะรู้ว่า ผบ.ทบ.พาดพิงถึงใคร

 

พล.อ.อภิรัชต์ย้อนกลับมาที่คนรุ่นใหม่อีกครั้ง

“ผมขอร้องนิสิต นักศึกษา ครู-อาจารย์ ข้าราชการหลายท่านไปร่ำไปเรียนศึกษาที่ต่างประเทศกันมา…ท่านไปเรียนระบอบประชาธิปไตยของประเทศอะไรมาผมไม่ได้ว่า แต่ระบอบประชาธิปไตยในโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีวัฒนธรรมของระบอบประชาธิปไตยของตัวเอง”

“ไม่ใช่พยายามจะเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

“อย่าไปเอาความซ้ายจัดที่ไปเรียนมา แล้วมาดัดจริต ประเทศอื่นเขาไม่มีที่จะมีแบบนี้”

“นี่คือเมืองสยาม เมืองแห่งรอยยิ้ม เมืองที่เรามีระบอบประชาธิปไตยของเราแบบนี้”

พล.อ.อภิรัชต์ย้ำว่า

“หากพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้นั้น ผมยืนยันไปแล้วเรายอมรับกติกาทุกอย่าง กองทัพไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้”

“และไม่ต้องถามแล้วว่ากองทัพจะไปยังไง”

“จะมีปฏิวัติรัฐประหารหรือไม่ มันเป็นเพียงวาทกรรมเดิมๆ ที่เอามาถามแล้วถามอีก”

“แล้วก็เอาคำนี้ไปทำให้เด็กที่ยังไม่รับรู้อะไรมากมายรู้สึกไม่ดีต่อกองทัพ”

แจ่มชัดยิ่งว่า ทั้งสารนายกฯ และหัวหน้า คสช.

ท่าทีของผู้บัญชาการเหล่าทัพ

และรวมถึงท่าทีอันแข็งกร้าวของผู้บัญชาการทหารบก

มีเป้าหมายเล็งไปยัง “คู่ขัดแย้ง” ทั้งเก่าและใหม่ เปิดเผยชัดเจนขึ้น

เก่า ก็ยังเป็นนายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ที่ยังดำรงสภาพ “ยัน” กันอยู่

แต่ก็เพิ่มความ “พันลึก” ไปยังเงื่อนไขพิเศษ ที่อาจทำให้ฟากนายทักษิณจะต้อง “คิดมาก” ขึ้นอีกหลายเท่า

อย่างไรก็ตาม ในแนวรบของรัฐบาล คสช. และทหาร ไม่ได้มีเฉพาะ “ผีทักษิณ”

หากแต่มี “ปีศาจแห่งยุคสมัย” โผล่ขึ้นมาด้วย

เป็นปีศาจใน “กระแสแห่งคนรุ่นใหม่” ที่ผู้นำกองทัพยอมรับเองว่า ยังตามไม่ทัน

พรรคอนาคตใหม่ คือปีศาจตนนั้น

ซึ่งแม้ฝ่ายกุมอำนาจจะยังตั้งหลักรับไม่ได้ แต่ก็เดินหน้าเข้ากำกับ ควบคุม รวมถึงหากกำจัดได้ก็กำจัด เพราะไม่อาจจำกัดวงการเติบโตนอกเหนือคาดหมายได้

ถ้อยคำแบบซ้ายดัดจริตที่คิดจะเปลี่ยนแปลงระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สะท้อนถึงภาวะแห่งการ “ไม่ยอมรับและเป็นเป้าหมายบดขยี้แจ่มชัด”

จากนี้เราคงได้เห็นปฏิบัติการต่างๆ ทั้งมุ่งไปยังตัวบุคคลและพรรคอนาคตใหม่มากขึ้น

หลายเรื่องถูกชงขึ้นเขียงองค์กรอิสระแล้วหลายเรื่อง

และมีเป้าหมายสุดท้ายที่รุนแรงถึงขนาดยุบพรรค หรือตัดสิทธิไม่ให้เล่นการเมืองอย่างยาวนานหรือถึงขนาดตลอดชีวิต

ซึ่งแน่นอน กลุ่มผู้ถูกกระทำ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ก็คงไม่งอมืองอเท้ารับชะตากรรม

หากแต่ใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารขยายบทบาทของตนเองและตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามอย่างแหลมคมแน่

ยิ่งการตั้งรัฐบาลใหม่ชะงักงัน ความหงุดหงิด อัดอั้น ยิ่งโน้มนำให้การกระทำเพื่อ “กำจัด” และ ขจัด” ฝ่ายตรงข้ามรุนแรงและเร่งรัดขึ้น

เมื่อวันที่ 2 เมษายน นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความแสดงความเห็นถึงสถานการณ์การเมืองช่วงนี้ โดยระบุว่า

“ก่อนยุค พล.อ.เปรม (ติณสูลานนท์) เราสร้างผีคอมมิวนิสต์ขึ้นมาตัวหนึ่ง ไม่พอใจใครก็ชี้หน้าว่าเป็นคอมมิวนิสต์

ในที่สุดก็เป็นสงครามกลางเมืองขยายตัวไปถึง 47 จังหวัด มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก”

“ครั้นถึงยุค พล.อ.เปรม ท่านแก้ไขปัญหาได้สำเร็จและนำความสงบสุขกลับคืนมาได้สำเร็จ! โดยที่ท่านไม่ต้องไปฆ่าใคร ไม่ต้องไปด่าใคร ไม่ต้องชี้หน้าว่าใครว่าเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ท่านเปิดกว้างเชิญชวนทุกคนเข้ามาร่วมกันพัฒนาชาติบ้านเมือง จึงกลับคืนสู่ความสงบสุข วิธีการของรัฐบาล พล.อ.เปรมยังทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมืองอยู่เสมอ”

คำชี้แนะของคนใกล้ตัวบิ๊ก คสช.นี้น่าจะแบ่งปันกันอ่านในส่วนผู้ที่เกี่ยวข้อง

  บางทีอาจจะช่วยลดความเข้มข้นของศึกวันแดงเดือดลงได้บ้าง?