ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ : ลายสือไท เป็นตัวอักษรชนิดเดียวในโลก ที่ผูกอยู่กับชนชาติ?

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

ในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง มีข้อความตอนหนึ่งที่บอกเอาไว้แบบชัดเจนว่า

“…เมื่อก่อนลายสือไทนี้บ่มี 1205 ศก ปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจ ในใจ แลใส่ลายสือไทนี้ ลายสือไทนี้จึงมีเพื่อพ่อขุนนั้นใส่ไว้…”

1205 ศก ในจารึกเป็นมหาศักราช ซึ่งแปลงเป็นพุทธศักราชได้ง่ายๆ ด้วยการเอาบวกด้วยตัวเลข 621 ดังนั้น ข้อความในจารึกตอนนี้จึงอาจแปลเป็นภาษาไทย อย่างปัจจุบันได้ความว่า เมื่อก่อนนี้ยังไม่มีตัวอักษรไทย จนกระทั่ง พ.ศ.1826 พ่อขุนรามคำแหงจึงประดิษฐ์ขึ้น แล้วก็เอามาจารึกเอาไว้ในหินก้อนนี้นั่นแหละ

“ตัวอักษรไทย” หรือที่ในจารึกหลักนี้เรียกว่า “ลายสือไท” นั้น จึงมีประวัติที่มีความเป็นมาที่ชัดเจนอย่างแปลกประหลาด เพราะเราไม่เพียงรู้ว่า ตัวอักษรชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.ไหนเท่านั้น แต่ยังรู้อีกว่าใครเป็นผู้ประดิษฐ์ (หรือสั่งให้ประดิษฐ์) ตัวอักษรชนิดนี้ขึ้น

และอันที่จริงเรารู้เสียด้วยซ้ำไปว่า พ่อ, แม่ และพี่ชาย ของผู้ประดิษฐ์ตัวอักษรชื่ออะไรกันบ้าง เพราะพ่อขุนรามคำแหงก็ทรงประกาศพระองค์ไว้ตั้งแต่ตอนต้นสุดของจารึกหลักนี้ด้วยว่า พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง แถมพี่กูยังชื่อบานเมืองอีกต่างหาก

แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พ่อขุนรามคำแหงไม่ได้ทรงประกาศแค่ว่า พ่อ, แม่ และพี่ของพระองค์ชื่ออะไรเท่านั้นนะครับ เพราะพระองค์ก็บอกเอาไว้ชัดๆ ด้วยว่า อักษรพวกนี้เรียกว่า “ลายสือไท” หมายถึง “อักษรของชาวไทย” ซึ่งก็นับว่าประหลาดดี เพราะว่าไม่เคยมีอักษรใดๆ ในโลก ที่จะลุกขึ้นมาประกาศกร้าวว่า เป็นอักษรของชาติใดกันหรอก?

 

เชื่อกันว่า “”ตัวอักษร” ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคือ “ตัวอักษรลิ่ม” หรืออักษร “คูนิฟอร์ม” (cuneiform) ของชาวสุเมเรียน ที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของพื้นที่ราบลุ่มอันอุดมของแม่น้ำไทกริส และยูเฟรติส หรือที่เรียกกันว่า เมโสโปเตเมีย ในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยถ้าจะชี้เป้าลงไปให้ชัดๆ เลยก็คือ บริเวณพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศอิรักในปัจจุบันนั่นแหละ

และก็ว่ากันด้วยว่า “อักษรลิ่ม” พวกนี้ ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อช่วยในการจดจำ หรือบันทึกบัญชีสิ่งของด้วยวิธีที่คล้ายชวเลข หรือภาษาโทรเลข แต่การจดบันทึกที่ว่าก็เป็นที่นิยมนับตั้งแต่เริ่มพบหลักฐานครั้งแรกเมื่อเฉียดๆ 5,400 ปีที่แล้ว และยังใช้กันอย่างแพร่หลาย จนพัฒนารูปแบบแตกต่างกันออกไปทั่วดินแดนเมโสโปเตเมีย ในอาณาจักร และยุคสมัยต่างๆ โดยเฉพาะพวกอัคคาเดียน และอัสสิเรียน ในที่สุด

พูดง่ายๆ อีกทีก็ได้ว่า ถึงแม้ อักษรคูนิฟอร์ม จะถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยพวกสุเมเรียน ซึ่งเป็นสังคมเมืองที่ซับซ้อนแห่งแรกๆ ของเมโสโปเตเมีย แต่อักษรชนิดนี้ไม่ใช่ของชาวสุเมเรียนเท่านั้น ใครๆ ที่ใช้อักษรลิ่มนั้นก็เรียกว่า อักษรคูนิฟอร์มได้ทั้งหมด ซ้ำร้ายคำว่า “คูนิฟอร์ม” นั้น ก็เป็นเพียงคำเรียกในสมัยหลัง ที่พวกฝรั่งเอาไปใช้เรียกตัวอักษรประเภทนี้ต่างหาก

เพราะคำว่า “คูนิฟอร์ม” ถูกผูกขึ้นมาใหม่จากรากในภาษาละตินคือคำว่า “cuneus” ซึ่งแปลตรงตัวว่า “ลิ่ม” นั่นเอง

แต่ก็ไม่มีใครรู้หรอกนะครับว่า อักษรพวกนี้จะถูกชนชาวต่างๆ ในดินแดนเมโสโปเตเมียยุคโน้นเรียกว่าอะไร? แต่เดาได้อย่างหนึ่งว่า คงจะไม่ได้ถูกเรียกด้วยชื่อของรัฐชาติ หรือชนชาติไหนเป็นการเฉพาะ เหมือนอย่าง “ลายสือไท” ของพ่อขุนรามคำแหง เพราะอักษรลิ่มเหล่านี้ถูกใช้ร่วมๆ กันไปหมด โดยไม่แบ่งแยกสัญชาติ

 

ตัวอย่างง่ายๆ เราอาจจะเห็นจากตัวอักษร ที่คนไทยเราชอบเรียกว่า ตัวอักษรภาษาอังกฤษในปัจจุบัน ที่พวกฝรั่งก็ไม่ได้เรียกตัวอักษรเหล่านี้อย่างเดียวกับไทยเราเสียหน่อย ตัวอักษรเหล่านี้ถูกใช้เขียนทั้งโดยพวกผู้ดีอังกฤษ และอเมริกันชน แถมยังใช้ปนๆ กัน เพิ่มสัญลักษณ์โน่นนี่ทั้งในภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน และอีกให้เพียบ โดยที่เขาก็เรียกอักษรเหล่านี้โดยสืบย้อนจากความทรงจำบางอย่างว่าเป็น “อักษรโรมัน” ต่างหาก

แต่พวกโรมันก็ไม่ได้เรียกอักษรของตัวเองว่า “อักษรโรมัน” อีกอยู่ดี ตัวอักษรเหล่านี้ถูกใช้จดบันทึกภาษาละติน บางทีจึงมีการเรียกอักษรเหล่านี้ว่า “อักษรละติน” ที่ไม่ได้เกี่ยวกับชนชาติอะไรเลย แต่เกี่ยวกับภาษาที่ไม่ได้มีชนชาติใดเป็นเจ้าของโดยเฉพาะเจาะจง

และก็ยังมีคนเรียกตัวอักษรเหล่านี้ว่า “อักษรละติน” มาจนกระทั่งในปัจจุบันนี้ด้วย

 

ตัวอักษรที่น่าสนใจอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ ตัวอักษร “เฮียโรกลิฟิก” (hieroglyphics) ที่พวกอียิปต์มีใช้มาตั้งแต่เมื่อราว 5,200 ปีที่แล้ว ซึ่งนักอ่านภาษาโบราณบางท่านอ้างว่า ได้รับอิทธิพลมาจากตัวอักษรลิ่ม

แต่อักษรเฮียโรกลิฟิกไม่ได้มีหน้าที่ในฐานะเครื่องช่วยจำสำหรับการทำบัญชี อย่างของพวกสุเมเรียน แต่ถูกใช้ในแง่ง่ามของคติความเชื่อทางศาสนาต่างหาก โดยจะสามารถพิสูจน์กันได้ง่ายๆ จากการที่พบอักษรพวกนี้อยู่ในศาสนสถาน และสุสาน อย่างพีระมิดนี่แหละ

ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ คำว่า “เฮียโรกลิฟิก” นั้นเป็นคำที่ผูกขึ้นมาจากรากในภาษากรีกสองคำ ได้แก่ “hieros” ที่แปลว่า “ศักดิ์สิทธิ์” และ “glypho” ที่แปลว่า “จารึก” ซึ่งผมคงจะไม่ต้องบอกนะครับว่ารวมความแล้วมันแปลว่าอะไร?

ส่วนผู้ที่ผูกศัพท์คำนี้ขึ้นมาด้วยภาษากรีกก็คือ ชาวกรีกที่ชื่อ ติตุส ฟลาวิอุส คลีเมนส์ (Titus Flavius Clemens) หรือที่มักจะเรียกกันว่า คลีเมนส์ แห่งอเล็กซานเดรีย นักเทววิทยาชาวคริสเตียน ที่ลืมตาขึ้นดูโลกที่เมืองเอเธนส์ เมื่อราวๆ พ.ศ.693 คือใครคนนั้น และจากคำที่ท่านได้ผูกขึ้นมาใช้เรียกตัวอักษรเหล่านี้แล้ว ก็พอจะเห็นภาพได้ว่า ตัวอักษรเหล่านี้มีหน้าที่การใช้งาน และสถานภาพอย่างไรในยุคของท่าน เพราะตัวอักษรพวกนี้ยังถูกใช้งานต่อเนื่องมาจนถึงช่วง พ.ศ.939 เลยทีเดียว

ดังนั้น สำหรับเจ้าของตัวอักษรพวกนี้คือชาวอียิปต์โบราณเอง จึงไม่ได้เรียกพวกมันว่า “เฮียโรกลิฟิก” หรอกนะครับ พวกเขาเรียกตัวอักษรเหล่านี้ว่า “มิดิว เนตเชอร์” (medew netcher หรือที่สะกดตามอักขรวิธีโบราณว่า mdw mTr) ซึ่งก็แปลว่า “คำพูดของพระเจ้า” ต่างหาก

ที่เรียกว่าเป็นคำพูดของพระเจ้า ก็แสดงให้เห็นถึงสถานภาพของตัวอักษร และหน้าที่การใช้งานที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่พวกอียิปต์โบราณยังมีความเชื่อกำกับอยู่อีกด้วยว่า ตัวอักษรเหล่านี้เป็นสิ่งที่เทพเจ้าแห่งภูมิปัญญา และมีเศียรเป็นนกกระสา ที่ชื่อว่า “ธอธ” (Thoth) ประดิษฐ์ขึ้นมา ก่อนจะประทานให้กับมนุษย์โลก

 

สําหรับพวกอียิปต์โบราณ ที่มีตัวอักษรใช้ห่างจากอักษรลิ่มของพวกสุเมเรียนไม่กี่ร้อยปีนั้น ตัวอักษรของพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่ใช้ในการสื่อสารกับพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่า ที่จะใช้จดบันทึกอะไรในเชิงการค้าอย่างของสุเมเรียน

แต่ก็มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งไม่ว่าจะเป็นอักษรลิ่ม, เฮียโรกลิฟิก หรืออักษรละติน ก็คือ ตัวอักษรเหล่านี้ทั้งหมดนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอะไรที่เรียกว่า “ชาติ” อย่าง “ลายสือไท” เลย

อักษรที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ อักษรที่เป็นต้นแบบของอักษรจีนในปัจจุบัน โดยการขุดค้นในแถบพื้นที่มณฑลซีอาน ประเทศจีนในช่วง 50 ปีที่ผ่านมานี้ ทำให้ทราบว่า ตัวอักษรจีนมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมากว่า 6,000 ปีมาแล้ว เบียด “ตัวอักษรลิ่ม” ของพวกสุเมเรียน เจ้าของตำแหน่งตัวอักษรที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคนเดิมเสียจนตกขอบเวที

(แต่นี่ก็เป็นเพียงความฟากที่ดังมาจากฝ่ายจีนเท่านั้นนะครับ เอาเข้าจริงแล้วก็ยังไม่ค่อยแน่ใจได้นักว่า ตัวอักษรของจีนนั้นเก่าแก่ไปถึงขนาดที่พวกเขาอ้างจริงๆ หรือเปล่า?)

หลักฐานที่ได้จากการขุดค้น และวิจัยทางด้านโบราณคดีช่วยให้เราทราบว่า แต่เดิมตัวอักษรโบราณของจีนน่าจะเกี่ยวพันอยู่กับความเชื่อเชิงศาสนาเพราะโดยมากพบอยู่บนกระดูกเสี่ยงทาย หรือกระดองเต่า (อย่างไรก็ดี ไม่มีหลักฐานว่าชาวจีนโบราณใช้ตัวอักษรทำประโยชน์อย่างอื่นด้วยหรือไม่?)

ดังนั้น หน้าที่ของตัวอักษรพวกนี้จึงเกี่ยวข้องอยู่กับความเชื่อ ใกล้เคียงกันกับอักษรเฮียโรกลิฟิกของพวกอียิปต์ และคงไม่ได้ถูกเรียกว่าอักษรจีนแน่ เพราะคำว่า “จีน” ไม่ใช่คำที่พวกเขาใช้เรียกพวกตัวเอง พวกเขาเรียกตัวเองเป็นชาวฮั่น ตามชื่อราชวงศ์อันยิ่งใหญ่ของพวกเฮียๆ เขา (และชื่อราชวงศ์นั้นย่อมไม่ใช่ชื่อชนชาติแน่)

คำว่า “ลายสือไท” ในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงนี้ จึงนับได้ว่าแปลกอยู่ทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับคำเรียกชื่อตัวอักษรอื่นๆ เพราะดูเหมือนว่าจะเป็นตัวอักษรเดียวในโลก ที่ประกาศตนว่า กูเป็นอักษรของชนชาติไหน